วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

มหากาพย์แห่งสายตาผ่าต้อกระจก ตอนที่ 1

ครบกำหนดการพักตาหลังการผ่าตัดต่อกระจก 3 อาทิตย์ตามที่หมอสั่งเมื่อวาน ก็ไปตรวจตามที่หมอนัดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผลออกมาน่าพอใจ ปกติดีทุกอย่าง ตาข้างขวาที่ผ่าต้อกระจกออก กลายเป็นสายตาปกติ ไม่สั้นไม่ยาว
    ก็ตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่า ตาเป็นปกติเมื่อไรจะเขียนเรื่องการผ่าต้อกระจกทั้งเรื่องการผ่า แล้วเรืองของประกันสุขภาพต่างๆที่ได้ประสบพบมาเผื่อใครต้องมาเจอเหตุการณ์แบบเดียวกับผมจะได้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
   เมื่อตอนอายุเข้าวัยสี่สิบ ผมเริ่มคิดเรื่องการประกันสุขภาพของตัวเองเพราะเชื่อว่า คนเราไม่วันใดก็วันหนึ่งโดยเฉพาะเมื่อตอนอายุเริ่มมากจะต้องป่วย จะป่วยน้อยป่วยมากหรือป่วยด้วยเรื่องอะไร ไงก็ต้องป่วย ผมทำงานอาชีพอิสระมาเกือบตลอดอายุการทำงาน เคยเป็นลูกน้องพี่ต๋อยไตรภพ ทำรายการฝันที่เป็นจริง คุณขอมา ก็นานมากมาแล้วตั้งแต่สมัยเริ่มทำงานใหม่ๆ เท่านั้น ชีวิตที่เหลือก็ออกมารับจ้างทำโน้นนี่อิสระมาโดยตลอด และตอนสมัยที่เป็นพนักงานบริษัทยุคนั้นก็ยังไม่มีประกันสังคม ประกันสุขภาพอะไร จึงเรียกได้ว่าไม่เคยมีหลักประกันด้านสุขภาพอะไรเลยสักอย่าง มีอยู่ช่วงหนึ่งเคยทำประกันชีวิตเอาไว้ จำได้ว่าส่งมาได้หลายปีอยู่ ก็ไม่เคยเจ็บไข้อะไรเลยเมื่อเศรษฐกิจของไทยดิ่งลงเหวเมื่อปี 40 และผมเองก็ประสบกับพิษเศรษฐกิจต้มยำกุ้งตอนนั้นเหมือนกัน ประกันชีวิตที่เคยทำเอาไว้ก็ขาดส่งและต้องทิ้งไปในที่สุด
    แต่ด้วยความเป็นคนที่โชคดีเรื่องสุขภาพไม่มีโรคประจำตัวอะไรนอกจาก ปวดหัวแฮงเพราะกินเหล้าหนัก นอนอืดสักวันก็หายกินเหล้าได้ต่อ ผมก็เลยใช้ชีวิตแบบหลักลอยสบายๆสโลวไลฟ์มาก่อนที่เค้าจะมาฮิตกันตอนนี้ซะอีก แต่เมือเริ่มเข้าวัยสี่สิบ ผมมีความเชื่อลึกๆว่า วันหนึ่งผมจะต้องไม่สบายหนักสักอย่างแน่ๆ ที่คิดอย่างนี้ไม่ได้กลัวเรืองโรคภัยไข้เจ็บอะไรหรอกครับ กลัวเรื่องไม่มีเงินจ่ายค่ารักษามากกว่าเพราะรู้มาว่าค่ารักษาแต่ละโรคเดี่ยวนี้ ไม่มีหลักพันหรือหลายพันแล้ว มีแต่หลักหมื่นถึงหลักล้าน แล้วพอคิดอย่างนี้ก็ชัดเจนครับ ว่าผมไม่มีทางหาเงินมาจ่ายค่ารักษาได้แน่ ถึงพอจะหาได้ แต่ก็กระทบกับเรื่องปากท้องปัจจุบันแน่นอนถ้าต้องใช้เงินก้อนขนาดนั้น ด้วยการที่คิดแบบนี้ผมจึงมองหาเรื่องการประกันสุขภาพ หาข้อมูลหลายๆที่ ก็เจอแต่ส่วนมากเป็นประกันชีวิต ซึ่งพ่วงเรื่องสุขภาพด้วย แต่ก็ไม่ตรงกับที่ผมต้องการเท่าไร ผมต้องการแบบประกันสุขภาพเน้นๆ แบบทั้งผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก ก็มาเจอกับประกันสุขภาพของบริษัทบูพา ก็ตัดสินใจใช้บริการของบูพา มาโดยตลอด แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน บูพาไม่ได้แจ้งเรื่องการต่อประกันมา ทำให้ประกันขาดไป ก็เลยต้องเริ่มใหม่อีกครั้ง แต่ประกันสุขภาพแบบที่ผมทำมันเป็นแบบ ซื่อทิ้งไม่มีสะสมเหมือนกับประกันรถยนต์นั้นแหละครับ ขาดไปเร่ิมใหม่ก็เสียสิทธิอะไรบางอย่างเท่านั้น วงเงินว่ากันไปปีต่อปี
     นอกจากบูพาแล้วผมก็ยังมีประกันชีวิตของ AIA ไว้อีกเล่มหนึ่งซึ่งสำหรับผมแล้ว การประกันระดับนี้เพียงพอแล้ว พออุ่นใจว่าถึงเราจะเจ็บป่วยเป็นอะไร คงไม่ไปเดือดร้อนคนอื่นแน่ๆ ก็ใช้ชีวิตแบบปกติชิวๆ ไม่เจ็บไม่ไข้อะไรมา แต่พอเริ่มเข้าวัยสี่สิบห้า หลายๆอย่างมันก็เริ่มมาเยือนตามนัด เช่นปวดโน้นนี่ แบบไม่มีสาเหตุ แรกๆก็คิดว่า เอะเป็นเพราะหลังๆนี่เรากินเหล้าน้อยไปหรือเปล่า แต่ก่อนกินมันทุกวัน ร่างกายแข็งแรง ออกกองถ่ายทำงานหนักกลางแดด กลับมากินเหล้าจนดึก สมองนี่แล่นฉิว คิดอะไรก็เร็ว พอหลังๆกินเหล้าน้อยลง เดือนหนึ่งกินสองสามครั้งแล้วแต่จะมีใครมาชวน กลับเป็นเหมือนเฉื่อยชา เจ็บโน่นปวดนี่ แต่ก็ไม่เป็นอะไรเยอะ จนเมื่อประมาณสัก 2 ปี ที่แล้ว ผมเริ่มสังเกตุเห็นอาการผิดปกติของสายตา ผมเป็นคนสายตาสั้นมาแต่เด็ก เรียกได้ว่า เกิดมาดูโลกไม่กี่ปี ก็น่าจะสายตาสั้นแระ ใส่ตั้งแต่ประถมนะ ถ้าจำไม่ผิด ก็ใส่แว่นมาตลอด และสายตาก็มานิ่งอยู่ที่สั้น 650 ทั้งซ้ายขวา ทั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ เวลาเปลี่ยนแว่นก็วัดๆ สายตาไปงั้นๆ เพราะไม่เคยเปลี่ยน เปลี่ยนกรอบไปตามเวลาเท่านั้น แต่หลังๆมันไม่ใช่แล้วซิ มันแบบมองเริ่มไม่ชัด แต่เราก็ไม่ได้สังเกตุมา ข้างไหนที่มันไม่ชัด คนเราใช้สายตาทั้งสองข้างพร้อมๆกันนะครับ ง่ายๆคือ ถ้าข้างไหนไม่ชัด อีกข้างก็จะพยายามทำหน้าที่แทน ผมก็สังเกตุจากตอนขับรถ ถ้าเป็นตอนเปลี่ยนแสง เช่น ตอนเย็นเป็นกลางคืนนี่ ตาผมจะพร่า มองมัวๆ ขับรถอยู่ นี่ใช้ประสบการณ์ล้วนๆ เพราะมองไม่ค่อยเห็น ตั้งแต่รุ้ว่าเป็นอาการนี้ ผมก็หลีกเลี่ยงการขับรถตอนช่วงเวลาดังกล่าว แต่ก็คิดแค่ว่า คงเป็นอาการตามัวธรรมดาๆ หลังๆ มันก็เริ่มไม่ชัดขึ้นเรื่อยๆ ก็คิดว่า สายตาคงจะเปลี่ยนค่า ก็ไปวัดสายตาเปลี่ยนแว่นใหม่  ที่นี้ ข้างซ้ายกลายเป็นสั้น 450  ส่วนข้างขวาเป็นสั้น 800  คนที่วัดสายตาก็บอก พี่น่าจะไปหาหมอนะ สายตาพี่มันสั้นผิดกันเยอะ ผมก็เออๆ ว่าจะไปแล้วก็ขี้เกียจไปหาหมอ ก็เปลี่ยนแว่นมันไปเรื่อย ใช้คอนแทคบ้าง ซื้อมันมาลองไล่ไปหลายๆค่าสายตา จนคอนแทคและแว่นเต็มบ้าน ปัญหาก็ไม่หาย ก็เลยตัดสินใจไปหาหมอ  เราก็มีประกันนี่หว่า จะไปคิดมากทำไม ก็ไปที่ รพ รัตนิน เพราะใกล้บ้านและอ่านเจอว่า เป็น รพตา ที่ดี ไปตรวจที่รัตนินเจอหมอคนแรก ก้ตรวจๆๆๆๆ  เอ คุณไม่เป็นอะไรนะ แต่มีอาการตาแห้ง เอายาหยอดตาแบบพวกน้ำตาเทียมไปแล้วกัน ก็ดีใจ เออ ตาเราไม่เป็นอะไรว่ะ สงสัยเราจะวิตกจริตไปเอง ก็หยอดตาไปเรื่อย แต่อาการตามัวๆ ก็เป็นมาตลอดไม่เคยหายไปไหน จนรำคาญมันว่า มันจะเป็นอะไรกันหนักกันหนาว่ะ  ไปตรวจมันอีกที เจอหมอคนเดิมอีก ก็ตรวจๆๆๆๆๆๆๆๆ อืม คุณเป็นกล้ามเนื้อประสาทตาล้านะ(จำชื่อที่หมอบอกไม่ได้หรอกว่ามันโรคอะไร) มันทำให้คุณมองอะไรไม่ชัด คุณคงใช้สายตาเยอะ เราก็ตอบไปว่า ใช่ครับหมอ ผมต้องมองภาพเยอะ มองผ่านวิวไฟเดอร์ มันเพ่งตลอด หมอก็ อ๋อ ว่าแล้ว  เป็นนักเลงพระเหรอ ต้องส่องพระบ่อยๆ ผมอึ้งไปชั่วขณะ  เอิ่ม หมอครับ ผมเป็นช่างภาพครับ ถ่ายพวกสารคดี ถ่ายทีวีอ่ะครับ ตอบหมอไปก็นั่งนึก หน้าตากูนี่ เหมือนนักเลงพระตรงไหนว่ะ 55555  ถามหมอต่อ แล้วจะรักษาทำยังไงดีครับ หมอตอบแบบไม่ต้องคิด อาการอย่างนี้ ทำได้อย่างเดียวคือ ทำใจ   เฮ้ยยยยยยย  ซวยแหละกู  ทำใจนี่น่ะ  อาชีพต้องใช้สายตาตลอดด้วย งานเข้าแระ  ถามหมอย้ำอีก แกก็ตอบเหมือนเดิม แล้วให้ยาหยอดตามาหยอดปลอบใจอีกกล่อง  ออกจาก รพ มาก็เริ่มปลง แล้วบอกคนรอบข้างว่า ตอนนี้เป็นอย่างนี้แระ มองไม่ค่อยจะเห็น ก็ประคองตัวไป  ไงอาชีพช่างภาพมันก็ต้องทำ ตาข้างขวามองไม่ชัด ยังเเหลือข้างซ้ายนี่หว่า ก็เริ่มหัดใช้ตาซ้ายมองวิวไฟเดอร์แทน เออ มันก็ใช้ได้นี่หว่า หัดสักพักก็ชินกับใช้ข้างซ้าย ยังเหลือแต่การตัดต่อเท่านั้น ที่ยังต้องใช้ทั้งสองตา ก็ใช้วิธีตัดไปพักไป  แต่อาการตามัวมันก็ตามมาหลอนหนักขึ้นๆ จนตัดสินใจไปตรวจที่ รัตนินอีกที คราวนี้ได้เปลี่ยนหมอ  หมอส่องตาปุ๊บ หันมาบอกผมทันที คุณเป็นต้อกระจกครับ ถ้าจะผ่าก็นัดวันมาเลย ผมเดินออจากห้องตรวจแบบ งงๆ ตกลงกูเป็นต้อกระจกเหรอนี่  โห ดีใจมากมายยยยยยย   กูเป็นต้อกระจกแล้ว 555555 อย่าคิดว่าผมบ้านะครับ เป็นต้อกระจกแล้วดีใจ ทำไมจะไม่ดีใจล่ะครับ เทียบกับไอ้โรคกล้ามเนื้อตาอะไรนั้น ที่ต้องทำใจอย่างเดียว กับต้อกระจกที่แค่ผ่าออกใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไป ก็หายแล้ว ไม่แค่หายจากต้อกระจกเท่านั้น สายตาสั้นที่ติดตัวมาแต่เด็กก็จะหายด้วย  มันน่าดีใจไหมล่ะครับ
    เขียนยาวเพราะจะบันทึกเอาไว้ เผื่อใครเจอแบบคล้ายๆผมจะได้หาทางออกได้ แต่มันยาวมากแล้ว ตอนนี้จบแค่ ว่าค้นพบว่าตัวเองเป็นต้อกระจกก่อน เดี่ยวประชุมกับช่อง 5เสร็จ จะมาเขียนต่ออีกตอนนะครับ  จะเป็นเรื่องการรักษาและการต่อสู้กับบริษัทประกัน โชคดีทุกท่านครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น