วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558

มหากาพย์แห่งสายตาผ่าต้อกระจก ตอนที่ 2

ติดงานถ่ายซะไม่มีเวลาเขียนเลย วันนี้เพิ่งเลิกจากกองถ่ายมา เอาไฟล์เข้าโปรแกรมตัดต่อก็เลยมานั่งเขียนเล่าเรื่องกันต่อ ต่อจากตอนที่1 ที่ผมเล่ามาถึงว่าผมได้ค้นพบว่าตัวเองเป็นต้อกระจกแล้วมีความดีใจมาก (ถ้าหลายท่านสงสัยว่า เป็นต้อกระจกแล้วทำไมดีใจก็ลองไปอ่านดูเอาในตอนที่1นะ5555) เมือคุณหมอแห่งรัตนินแจ้งข่าวดีเรื่องต้อกระจกกับผมและให้ตัดสินใจว่าจะผ่าหรือไม่ ถ้าจะผ่าก็ให้นัดวันผ่ากันมาและให้คำแนะนำเรื่องการผ่า การรักษา การดูแลและผลลัพท์ที่จะได้ สารพัดประกอบการตัดสินใจ
หลังออกจากรัตนินมาผมก็สามารถตัดสินใจได้ทันทีเลยครับว่า ผมผ่าต้อกระจกแน่ๆ ผมไม่เก็บเอาไว้เพื่อการศึกษาใดๆทั้งสิ้น ผมกับมันตัดสินใจแยกกันอยู่แน่ๆ คิดเรื่องผ่าต้อกระจกไป ก็มโนภาพต่อถึงอนาคตของดวงตาข้างขวาว่า เฮ้ย เราจะไม่สายตาสั้นอีกแล้ว ไม่ต้องมาใส่แว่น ใส่คอนแทคอีก อืม จะทำตัวถูกไหมนี่ 55555 คิดไปเรื่อย หมอบอกว่า หลังผ่าต้องพักสายตา 2 อาทิตย์ ผมก็ต้องวางแผนการทำงานแล้วล่ะครับ เพราะปกติงานของผมแทบไม่มีล่วงหน้า รายการทีวีที่รับผิดชอบต้องออกอากาศทุกวันจันทร์ ผมต้องส่งไฟล์รายการทุกวันศุกร์ก่อนเที่ยง ทั้งถ่ายรายการเอง ตัดต่อเอง ทำให้ผมต้องทำงานเรียกได้ว่าทุกวัน ไม่มีวันหยุด เพราะจากสายตาข้างตาที่เป็นต้อกระจก ทำให้ผมมองจอคอมตัดต่อนานๆไม่ได้ ตัดไปสัก 2-3 ชม ก็ต้องพักสายตาสัก ชม. พักไปพักมาก็หลับซะเลย 5555 เพราะฉะนั้นงานตัดรายการแบบปกติทั่วไป รายการความยาว 1 ชม เค้าจะตัดกันสัก 1 วันถึงวันครี่ง แต่ไม่เกิน 2 วัน สำหรับผมมันเลยกลายเป็น 3 วัน ออกกองถ่ายโน่นนี่ 7วันใน 1 อาทิตย์ก็หายไปอย่างรวดเร็ว ทีนี้จะทำไงดี หมอให้พักตั้ง 2 อาทิตย์ และผมมีโปรแกรมที่จะต้องไปถ่ายสารคดีที่ แอฟริกา อีกเกือบ 2 อาทิตย์ ก็เลยตัดสินใจว่า หลังกลับจากแอฟริกา สัก 2 อาทิตย์น่าจะเหมาะที่สุด คิดได้ดังนั้น ก็เริ่มแข็งใจตัดต่อรายการทีวี แบบไม่หยุดพัก เพื่อทำล่วงหน้าให้ได้ สายตามันจะล้า มันจะเบลอๆก็ช่างมัน เดี๊ยวเราก็ได้ผ่าต้อกระจก เราจะหายสายตาสั้นแระ ปลุกปลอบใจตัวเองอย่างนี้มาตลอด ผมก็ได้ทำรายการทีวีล่วงหน้าเป็นผลสำเร็จเพียงพอต่อการที่ต้องหยุดพักตามหมอสั่ง แล้วผมก็เดินทางไปถ่ายสารคดีที่แอฟริกา คิดในใจว่า เสียดายไปหน่อย ถ้าได้ผ่าต้อกระจกก่อน ผมคงทีโอกาสที่จะมองแอฟริกาอย่างแจ่มชัดกว่าที่เป็น 5555 คิดเป็นโน่น
หลังจากเสร็จงานที่แอฟริกา กลับถึงเมืองไทย ผมก็รีบติดต่อไปที่ รัตนินทันทีว่าผมพร้อมที่จะผ่าตัดแล้ว ผมจะผ่าได้วันไหน ทางรัตนินก็บอกว่า ผมต้องมาตรวจก่อน ตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง ผมก็อ้าว ตรวจอีกเหรอ นึกว่า ผ่าได้เลย แต่ตรวจก็ตรวจว่ะ เชื่อหมอเหอะ เค้าเรียนมาย่อมรูดีกว่าเรา ก็นัดวันไปตรวจตาอีกครั้ง เจอหมอก็อธิบาย เรื่องต้อ เรื่องโน่นนี่ไป แล้วก็ให้ไปตรวจร่างกายเพื่อเตรียมการผ่าตัด ผมก็นึกว่า เออ มันคงไม่มีอะไร ผ่าต้อกระจกแค่นั้น ที่ไหนได้ ผมโดนเจาะเลือด โดนวัดสารพัดเครื่องไฮเทค อะไรบ้างก็ไม่รู้ เริ่มคิดแระ เฮ้ย มันต้องขนาดนี้เลยเหรอว่ะ แต่ก็เอาไงเอากัน มาถึงขนาดนี้แล้ว ตรวจเสร็จก็เดินลงมาคุยกับเจ้าหน้าที่เตรียมการผ่าตัด วันที่ผมไปตรวจคือวันเสาร์ ตกลงได้วันผ่าคือเสาร์หน้า ผมก็ถามว่า ค่าผ่าตัดประมาณเท่าไรครับ เจ้าหน้าที่ก็มองเอกสารแล้วตอบผมว่า เคสของคุณพี่ 54,000 บาทค่ะ ผ่าข้างเดียว ใช้เลนส์ตาเทียมแบบธรรมดา สิ้นเสียง 54,000 บาทค่ะ สมองของผมก็ลอยเคว้งคว้างไปดาวอังคารเรียบร้อย ห้าหมื่นสี่พันนนนนนนนนนนน 55555 แพงได้ใจจริงๆ แต่เฮ้ย เรามีประกันนี่หว่า 5555 เราไม่กลัวหรอก โทรถามประกันบูพามาแล้ว ว่าผ่าต้อกระจกนี่ ประกันจ่ายไหม ซึ่งบูพาตอบมา คลุมครองค่ะ คุณลูกค้า ก็แจ้งกับเจ้าหน้าที่ของรัตนินไปว่า ผมมีประกันน่ะ ของบูพา ทางรัตนินก็แจ้งว่า ไม่มีปัญหาค่ะ กับทางบูพานี่ สามารถแฟ๊กซ์เคลมได้เลย ไม่ต้องสำรองจ่าย แต่ของ AIA นี่ต้องสำรองจ่ายไปก่อนน่ะค่ะ งั้นเดี่ยวหนูจะทำเรืองแจ้งไปทางบูพาให้คุณพี่เลย ขอเอกสารด้วยค่ะ ผมก็ส่งเอกสารทุกอย่างที่ต้องใช้ไปให้ เรียบร้อยแล้วค่ะคุณพี่ แต่ค่าตรวจรักษาวันนี้ 3500 บาทต้องจ่ายไปก่อนน่ะค่ะ ไม่เกี่ยวกับค่าผ่าตัดค่ะ อ้าว 3500 เลยเหรอ เอาว่ะ จ่ายก็จ่าย ไม่ต้องเสียห้าหมื่นกว่า นี่ก็ดีใจแล้ว ก็กลับบ้านมานอนฝันหวานถึงอนาคตสายตาที่แจ่มชัด
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ก็ถึงวันศุกร์ ผมก็เตรียมตัวตรวจความเรียบร้อยทุกอย่างเพราะวันเสาร์จะต้องผ่าต้อกระจกแล้ว ก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดแล้ว แต่เอะใจขึ้นมา โทรเช็ครัตนินอีกทีดีกว่า ก็เลยโทรไปเช็คกับรัดนิน "พรุ่งนี้ผมผ่าต้อกระจกตอน 5 โมงเย็นน่ะครับ ทุกอย่างเรียบร้อยไหมครับ" เจ้าหน้าที่ตอบ " เดี่ยวเช็คให้น่ะค่ะ" " เอ่อ เคสของคุณพี่ ของบูพายังไม่ตอบมาเลยค่ะ" "อ้าวแล้วผมต้องทำยังไงล่ะครับ " "ก็ถ้าทางประกันยังไม่แจ้งมา ทางคุณพี่ต้องสำรองจ่ายค่าผ่าตัดทั้งหมดไปก่อนค่ะ" ผมเริ่มมีนงง " โห เกือบหกหมื่นบาท ผมจะไปเอาที่ไหนล่ะครับ แล้วทางบูพาเค้าติดอะไรล่ะครับ ถึงเป็นอย่างนี้ " เจ้าหน้าที่ตอบ " ก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แจ้งเรื่องเคลมไปแล้ว" ผมเริ่มคิดหาทางออก " งั้นเดี่ยวผมโทรไปหา บูพาเองว่า มันติดขัดอะไรตรงไหน แล้วจะโทรกลับมาอีกทีนะครับ"
55555 เล่าซะยาว แต่รับรองด้วยเกียรติของลูกเสือสำรองเลยว่า เรื่องที่เขียนนี้ เป็นเรื่องจริงทุกประการ เดี่ยวมาเขียนเล่าต่ออีกสักตอน เพราะเรื่องบูพานี่มันยาวเลยแหละ โชคดีทุกท่านครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น