วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

มหากาพย์แห่งสายตาผ่าต้อกระจก ตอนที่ 5

ความเดิมตอนที่แล้ว เคสผ่าต้อกระจกของผมต้องรอการตรวจสอบ ใช้เวลาไม่เกิน 90 วัน หลังเจรจากับบูพาไม่เป็นผลต้องรออย่างเดียว
หลังจากวางสายกับบูพาไม่นาน ผมก็ได้รับเมล์จากบูพา เปิดอ่านก็เจอไฟล์แนบเป็นเอกสารให้กรอกเรื่องขอตรวจสอบประวัติ ในเมล์บอกว่า ให้ปริ้นท์ออกมา 5 ชุด กรอกเอกสารให้ครบทุกอย่างพร้อมสำเนาบัตรประชาชน ส่งใส่ซองลงทะเบียนกลับที่ที่บริษัท ผมก็จัดการอย่างไม่รอช้าล่ะครับ เพราะที่เจ้าหน้าที่เค้าบอกนี่ 90 วันนับจากวันที่ทางบูพาได้รับเอกสาร จัดการเรียบร้อยตรวจทานความถูกผิดยิ่งกว่าเอกสารอัยการส่งฟ้องคดีการเมือง 55555 กลัวเร่องเสียเวลาอ่ะครับ ได้รับเมล์วันศุกร์เย็น วันจันทร์รีบส่งส่งทะเบียนทันที พร้อมโทรไปบอกว่า "ผมส่งเอกสารไปให้แล้วนะครับ" 555555 ก็กลับมานอนรอความหวังว่า ไอ้ทีบอกว่าไม่เกิน 90 วันมันอาจจะเป็นแค่ 9 วันก็ได้ใครจะไปรู้ ก็โทรตามเรื่องมันทุกวันเลยแหละครับ ส่งวันจันทร์วันพุธโทรไป ก็ได้รับแจ้งว่า ทางบูพาได้รับเอกสารเรียบร้อยแล้ว อืมเริ่มมีกำลังใจขึ้นมาหน่อย ก็กะว่า เอาหน่า ให้เจ้าหน้าที่เค้าทำงานหน่อย อย่าไปเร่งเค้ามากเดี่ยวเค้าจะหมั่นไส้ วันจันทร์หน้าผมก็โทรไปเช็คอีกที "เป็นไงครับ เคสของผมตรวจสอบผ่านไหมครับ" " ค่ะ ทางเราได้รับเรื่องแล้วค่ะ " " คือได้รับเรื่องอ่ะ ผมรู้แล้ว แต่โทรมาถามความคืบหน้าอ่ะครับ" " อ่อ ขอเช็คก่อนนะค่ะ" ผมก็นึกในใจน่ะว่า ตอบตามสูตรกันจริงๆ55555 " ฝ่ายตรวจสอบรับเรื่องไปแล้วค่ะ" "ครับ แล้วคืบหน้ายังไงบ้างครับ" "ค่ะ ก็คือรับเรื่องไปแล้วค่ะ" 55555 ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า ไม่มีความคืบหน้าอะไร ถามซักไซร้ไล่เรียงมาก เดี่ยวน้องคนรับโทรศัพท์เค้าจะเสียอารมณ์เปล่า " ok ครับ งั้นผมโทรมาเช็คเรื่อยๆน่ะครับ " " เดี่ยวเรื่องเรียบร้อย ทางเราจะโทรแจ้งเองค่ะ" "ไม่เป็นไรครับ เดี่ยวสักอาทิตย์หน้า ผมโทรมาถามแล้วกันครับ แค่นี้นะครับ" 
หลังวางสาย ผมเริ่มยอมรับแล้วว่า ปาฎิหาริย์ไม่มีจริง ผมคงต้องรอและรอเท่านั้น แล้วคำถามที่ตามมาคือ ถ้าผมรอจนครบ 90 วัน แล้วเคสตรวจสอบผมไม่ผ่านล่ะ ผมจะทำยังไงกับต้อกระจกของผมดี เพื่อนฝูงหลายคนรวมทั้งครอบครัวที่ทราบข่าวก็ถามไถ่เรื่องราวกันมา เพื่อนสนิทผมคนหนึ่งที่ค่อนข้างจะมีสตางค์เอ่ยกับผมว่า "เฮ้ย มึงไปผ่าเลย ไม่ต้องรอมันหรอก ไอ้ห่า ตั้ง 90วัน เดี่ยวตามึงก็บอดหรอก มึงผ่าวันไหน เดี่ยวกูไปจ่ายตังให้ก่อน เคลมได้แล้วค่อยเอามาคืนกู" "อ้าว แล้วถ้าแม่งเคลมไม่ผ่านล่ะ กูจะเอาที่ไหนมาคืนมึง" "แม่งไม่ขนาดนั้นหรอก มึงก็มั่นใจนี่ ว่าไม่มีประวัติโรคอะไรที่มันว่า และถ้าแม่งเคลมไม่ได้จริงๆ ก็ช่างมัน เดี่ยวค่อยไปฟ้องเอา" ผมมองหน้าเพื่อนด้วยแววตาซาบซึ้งเพราะขณะที่คุยกันนั้น เบียร์ได้หมดไปเยอะแล้ว 5555 " ไม่อ่ะ กูจะเอาให้จนเรื่องตรวจสอบผ่าน กูอยากรู้แม่งเหมือนกัน ว่ามันจะเป็นยังไง นี่มันยังแค่ต้อกระจก โรคโคตรเด็กๆ แล้วถ้าเป็นพวกมะเร็งอะไรนี่จะขนาดไหน" เพื่อนมองหน้าผมด้วยความระอาในความดื้อรั้น " ตามใจมึง ไอ้ห่า บอดขึ้นมาไม่ต้องมาให้กูเลี้ยงเหล้านะมึง ไปขอทานหาแดกเอาเอง" ผมหัวเราะแบบขำตัวเอง เออนะ ถ้าตาบอดขึ้นมาจะทำไง แต่ความจริงแล้ว ตั้งแต่ผมรู้ว่าตัวเองเป็นต้อกระจก ผมหาข้อมูลเรื่องนี้มาโดยละเอียดแล้วแหละครับ ว่าสาเหตุ หรือต้นตอ ความร้ายแรงมันเป็นยังไง ต้อกระจกนี่ คนแก่ๆ อายุเลย 70 เป็นกันแทบทุกคนจะเรียกว่า เป็นโรคคู่ตัวคนแก่เลยก็ว่าได้ บังเอิญผมดันเป็นตอนอายุไม่ถึง 50 เป็นเร็วไปหน่อยเท่านั้น สาเหตุก็มาจะมาจากเรื่องหน้าที่การงานที่ต้องใช้สายตาแหละครับ และจากการตรวจของหมอ ผมเองก็ยังไม่ได้เป็นขั้นหนักหนาอะไร เรียกง่ายๆ ว่าอีกนานกว่าตาจะบอดแหละครับ รู้เขารู้เราแล้ว ผมก็ใจเย็นที่จะเล่นไปตามน้ำแหละครับ 
แต่ผมไม่เคยประมาทกับการใช้ชีวิตครับ ถึงจะใช้ชีวิตอิสระไม่มีความแน่นอนอะไรแต่ผมมองชีวิตด้วยความระมัดระวังเสมอ ตั้งแต่ตอนที่ผมเริ่มรู้สึกว่า ตาผมมันมัวๆ พร่าๆ ผมเริ่มหาข้อมูลเรื่องโรคตาต่างๆ ว่าค่ารักษาเท่าไร รพ ไหนถูก รพ ไหนแพง รพ ไหนเค้าว่าดี หาอ่านไปเรื่อยครับ เจอใครก็ถามเอาไว้ เมื่อรู้ราคาของการผ่าต้อกระจก ก็ได้แต่อึ้งครับ ถ้า บำรุงราษ ก็ประมาณ แปดหมื่น รัตนิน หกหมื่น ถ้าพวกกลุ่ม รพรัฐ ก็สามหมื่นสี่หมื่น เรียกได้ว่า ไม่มีถูกๆครับ อันนี้ผ่าแบบทันสมัยสุดนะครับ อัตราซาวไปเอาต้อกระจกออกมา แล้วใส่เลนส์เทียมเข้าไป เมื่อทราบราคาแล้วก็เอามาคิดว่า ถ้าประกันมันไม่จ่ายผมจะทำยังไง ผมไม่มีสิทธิประกันของรัฐอะไรสักอย่าง จะไปทำได้ก็คือ 30 บาทรักษาได้ทุกโรค ซึ่งคนไทยทั่วไปทำได้ทุกคน แต่ที่นี้ถ้าใช้สิทธิ 30 บาทนี่ คิวผ่าต้อกระจก ยาวมาก ยาวเป็นปีเลยทีเดียว ผมก็มองแผนสำรองเอาไว้ ประกันสังคมไง คุณภาพดีไม่แพ้ ประกันพวกเอกชนเลย แต่ผมไม่ใช่ลูกจ้างนี่หว่า ทำไงดีล่ะถึงจะทำประกันสังคมได้ ขณะที่นั่งกินเหล้ากับเพื่อนไป นั่งคิดไป ก็นึกได้ เฮ้ย เพื่อนเรานี่แม่งเจ้าของบริษัทเพียบเลย นี่หว่า ก็ไปเป็นลูกจ้างมันซิว่ะ จะไปยากอะไร หันมาเจอเพื่อนสนิทเจ้าของบริษัทใหญ่พอดี สบตามันปิ๊งปั่ง พร้อมเอ่ยปาก " เฮ้ย มึงรับกูเป็นแมสเซนเจอร์ ส่งของหน่อยดิว่ะ เงินเดือนเท่าไรก็ได้ " เพื่อนผมกำลังยกเหล้าเข้าปากแทบสำลัก " อืม มีงนี่ นอกจากตาจะบอดแล้ว สมองยังเริ่มเสื่อมอีก เป็นห่าอะไร จะมาเป็นแมสเซนเจอร์ตอนแก่จะห้าสิบ เค้ามีแต่ชีวิตพัฒนาขึ้นดีขึ้น มึงจากผู้กำกับสารคดี จะมาเป็นแมสเซนเจอร์ เมาเปล่ามึง" " กูไม่ได้เมา โห ด่าซะยาว" ผมก็เลยอธิบายมันไปว่า ผมอยากมีประกันสังคมเอาไว้ เผื่อประกันเอกชนที่ทำๆเอาไว้มีปัญหา จะได้มีทางเลือก " อ๋อ ก็ไม่บอกแต่แรก ว่าจะทำประกันสังคม เสือกบอกจะมาสมัครเป็นแมสเซนเจอร์ กูจะรู้เหรอ เอางี้อาทิตย์หน้า มึงโทรไปที่ฝ่ายบุคคล บริษัทกู บอกชื่อเค้า เดี่ยวกูจะแจ้งเรื่องเค้าเอาไว้ให้ก่อน ว่าแต่มึงจะเอาตำแหน่งแมสเซนเจอร์จริงเหรอ" " เออ แมสเซนเจอร์นี่แหละ กูชอบขับมอไซค์ สมัยหนุ่มๆ ก็เคยเป็นมาแล้ว" สรุปผมก็เลยมีประกันสังคมมาเตรียมเอาไว้อีกอย่างของชีวิต 555555 ซับซ้อนเกินไปเปล่านี่ ใกล้จบแล้วครับ อีกนิดเดียว โชคดีทุกท่านครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น