วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

มหากาพย์แห่งสายตาผ่าต้อกระจก ตอนที่ 6 สุดท้ายแระ

ความเดิมจากตอนที่แล้ว ผมนั่งรอความหวังจากบูพาอย่างเลือนลาง แต่ก็ไม่ยอมแพ้ออกเงินไปก่อน
เวลาผ่านไป จากอาทิตย์เป็นหลายอาทิตย์ ผมก็เร่ิมไม่โทรไปถามแระ รอมันอย่างเดียว ผลการตรวจสอบมันต้องผ่านซิ ผมไม่เคยเป็นต้อกระจก มารู้ก็ตอนตรวจที่รัตนินนี่แหละ พอรู้ก็จะผ่าเลย มันจะเป็นโรคต่อเนื่องได้ยังไง เป็นตายยังไงก็จะรอ ผมต้องใช้เงินประกันของบูพามาจ่ายค่าผ่าต้อกระจกให้ได้ มันเป็นสิทธิของผม 
ผมใช้ชีวิตปกติทำงานของผมไป แล้ววันหนึ่งก็มีโทรศัพท์เบอร์แบบเบอร์บ้าน 02 มาที่มือถือของผม "สวัสดีครับ" ปลายสาย " สวัสดีครับ คุณอนุทินหรือเปล่าครับ" " ใช่ครับ" ผมเงียบไป นึกในใจ เแม่งขายของอะไรอีกหว่า เบื่อว่ะ " โทรจาก รพ พระราม 9 ครับ " ผมชักเอะใจ โทรจาก รพ มีอะไรว่ะ หันไปมองดาวเรือง ก็นอนอืดอยู่ข้างๆนี่หว่า ไม่ได้เป็นอะไร หรือใครเป็นอะไรว่ะ ใจชักเต้น " ครับๆ มีอะไรหรือครับ " "คุณอนุทิน จะยอมให้เปิดเผยประวัติการรักษาหรือเปล่าครับ มีเอกสารขอมา" ได้ยินข้อความ ผมนี่โล่งเลย รีบตอบ " ยินดีครับ เปิดเผยมันให้หมดเลยครับ ไม่ต้องปิดบังครับ" " ok ครับ ขอบคุณมากครับ" หลังวางสายผมนึกลำดับเหตุการณ์ รพ พระราม 9 เป็นอีก รพ ที่ผมใช้เป็นระจำเพราะใกล้บ้าน ไปมาสะดวก ทางบูพาต้องไปขอตรวจสอบเรื่องต้อกระจกผมแน่ๆ เชิญตามสบายครับ เพราะเท่าที่จำได้ ผมไป รพ พระราม 9 เพื่อฉีดวัคซีนกันหมาบ้าเพราะไปจับหมาจรจัดแถวบ้านฉีดยาแล้วโดนมันงับเอา กับล่าสุดก็นอนตกหมอนแล้วคอเคล็ดหนักเท่านั้น ซึ่งโรคเหล่านี้ไม่น่าที่จะเกี่ยวอะไรกับต้อกระจกที่ผมจะเคลม 555555 เริ่มมีความหวังใหม่เข้ามา แล้วเรื่องก็เงียบหายไปอีก.......
ผ่านมาอีกสักสิบวันหลังจาก รพ พระราม 9 โทรมา ผมรอไม่ไหวจึงโทรไปที่ บูพาอีกครั้ง "สวัสดีครับ ผม............. (อธิบายยาวไปเลย ขี้เกียจมาถามใหม่อีกครั้ง) เรื่องเคลมไปถึงไหนแล้วครับ "ค่ะ ๆ เดี่ยวดูให้ค่ะ" เข็มวินาทีกระดิกผ่านไปพร้อมความหวังของผมที่เดินตามไปช้าๆ "คุณอนุทินค่ะ เคสคุณอนุทินตรวจสอบเรียบร้อยแล้วน่ะค่ะ " เฮ้ย อะไรว่ะนี่ ผมรีบเอ่ยถาม " แล้วเป็นไงครับ ผ่านหรือเปล่า" " ผ่านเรียบร้อยทุกอย่างค่ะ" สิ้นเสียงที่เหมือนมาจากสวรรค์ คำว่าโล่งอกนี่ ผมเข้าใจวันนี้เอง "ครับ ขอบคุณครับ" วางสายเสร็จ ก็อดคิดไม่ได้ มันพึ่งเสร็จพอดี แล้วเราโทรมา หรือว่า มันเสร็จนานแล้วว่ะ 5555555 เอาเหอะช่างมันเรื่องผ่านแล้ว สรุปรวมเวลาถ้าจำไม่ผิดนัก ตั้งแต่เริ่มส่งเอกสาร จนเรื่องผ่าน น่าจะ 40 วัน คิดในแง่ดี เร็วกว่าที่เค้าบอกไว้ 90 วันตั้งครึ่ง ไม่รอช้า โทรไปที่รัตนินเลยครับ " ขอนัดวันผ่าครับ" "มีเสาร์นี้ กับเสาร์หน้าค่ะ " ใจผมคิด ผมไม่อยากรออะไรอีกแล้ว " เสาร์นี้เลยครับ แล้วผมต้องตรวจอะไรอีกไหมครับนี่ " เจ้าหน้าที่รัตนิน เงียบไปสักพัก " ผลตรวจเดิมยังใช้ได้อยู่ค่ะ ไม่ต้องตรวจซ้ำ วันเสาร์มาผ่าเลยนะค่ะ " ผมถามเรื่องเคลมประกันต่อ " ทางบูพาเค้าแจ้งผมมาแล้วว่า เคสผมตรวจสอบเรียบร้อยแล้วครับ ไม่มีปัญหาอะไรน่ะครับ" "คะ ถ้าบูพาแจ้งยังงั้นไม่มีปัญหาคะ แค่คนไข้ต้องนอน 1 นะค่ะ" "อ้าวทำไมล่ะครับ ผ่าตัดเล็กไม่ใช่เหรอ ผ่าเสร็จกลับบ้านได้เลย หมอบอกนี่" "ใช่คะ แต่ว่าวันเสาร์ 5 โมงเย็นผ่าเสร็จ ทางบูพาเลิกงานแล้ว ไม่สามารถส่งแฟ๊กซ์เคลมได้ค่ะ หลังผ่าเสร็จ รุ่งขึ้นคนไข้ต้องมาตรวจอีกครั้ง ถ้านอนค้างที่ รพ ก็มาตรวจตอนเที่ยงได้เลย" " แล้วถ้าผมไม่นอนล่ะครับ บ้านผมใกล้ๆแต่นี้เองผ่าวันเสาร์ วันอาทิตย์เที่ยงผมไปตรวจได้ไหม" " ได้คะ แต่คนไข้ต้องจ่ายผ่าตัดไว้ก่อน ครึ่งหนึ่งก็ประมาณ 27000 บาทคะ แล้วพอวันอาทิตย์มาตรวจเราแฟ๊กซ์เคลมกับบูพาเรียบร้อย จะคืนเงินมัดจำทั้งหมดคะ" ผมเริ่มมึนงงอีกครั้งแล้วครับ เอาไงดี ถามค่าห้องที่รัตนินมาแล้ว ถูกสุดประมาณ เกือบ 5000 บาท ผมเบิกประกันได้ 2000 แล้วอาจถูกปฎิเสธการเคลมได้เพราะการผ่าตัดเล็ก ไม่ต้องนอนค้าง แล้วถึงประกันจ่ายยังไง ก็ต้องออกเองอีกเกือบ 3000 บาท เฮ้อ อะไรมันจะขนาดนี้ว่ะ นี่ขนาดกูมีวิชาความรู้ จัดเป็นชนชั้นปัญญาชน รู้เรื่องรู้ราวกับเค้าน่ะนี่ ไม่ใช่ตาสีตาสา รากหญ้าที่ไหน แม่งยังเยอะขนาดนี้ เอาไงดีว่ะ ตัดสินใจเด็ดขาด กูจะไม่ยอมจ่ายค่าอะไรอีกแล้ว พอกันที 5555 " ok ผมไม่นอนค้างครับ เดี่ยวจะจ่ายมัดจำค่าตัดเอง" วางสายกับรัตนินเสร็จ ผมก็โทรหาเพื่อนผู้เป็นกัลยาณมิตรทันที " เฮ้ย กูจะผ่าต้อกระจกแล้วว่ะ บูพามันบอกว่ากูผ่านแระ " 
"เออดีแล้ว ผ่าสักทีรอตั้งนานเดี่ยวก็บอดหรอกมึง เออกูว่าไหนๆจะผ่าแล้ว มึงบอกหมอเค้าผ่าเอาหมาจากปากไปด้วยสิ เจ็บทีเดียว" " ไอ้ห่า แต่แม่งยังมีปัญหาว่ะ รัตนินมันจะให้มัดจำสักครึ่งหนึ่งเพราะมันเคลมวันนั้นไม่ทัน วันเสาร์นี้กูจะผ่ามึงมารูดบัตรให้หน่อยดิ เดี่ยวเคลมได้เอาเงินสดไปคืน" "เออๆๆๆ มึงไปผ่าเหอะ ไม่ต้องห่วง เดี่ยวกูแวะไปจ่ายให้ ok นะ" 
แล้วมหากาพย์ของผมก็เดินมาถึงตอนสุดท้าย อย่างมีความสุขทุกคน 55555 สรุปเรื่องราวได้ดังนี้
1 คุณอาจคิดได้ว่าคุณมีประกัน แต่ประกันอาจไม่คิดเหมือนคุณ เพราะงั้น บอกได้คำเดียว ดูให้ดี พิจารณาให้ดี ไม่งั้นมีสิทธิตายแบบศพไม่สวย 5555
2 การเจรจาอะไร อย่าไปใช้อารมณ์ครับ ผมคุยกับบูพาแบบใจเย็นมาก คุยกันเป็น ชม ๆ เค้าเปลี่ยนมือมาคุยสามสี่คน ผมก็ไม่โกรธ พยายามอธิบาย เพราะอะไรครับ น้องๆเค้าก็เป็นเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำตามกฎระเบียบของบริษัท ด่าน้องเค้า ใส่อารมณ์ไป ได้อะไร นอกจากความสะใจ เจ้าหน้าที่ที่คุยกับเราไม่ใช่คนออกกฎ ถ้าอยากด่าต้องหาวิธีด่าคนออกกฎครับ หาตัวให้เจอ หาคนที่ใช่ แล้วก็ลุย แต่ทางออกที่ดีก็คือ คุยกันแบบใจเย็นๆ เจ้าหน้าที่ไม่ว่าที่ไหนก็เป็นคนเหมือนกับเรานี่แหละครับ มีสุขมีทุกข์ ร้อนหนาว เป็นเพื่อนร่วมโลกกับเรา คุยกับเค้าดีๆ เค้าอาจจะเห็นใจ ช่วยตามเรื่องของเราก็เป็นได้
3 เราต้องพยายามรักษาสิทธิของเราครับ เรื่องราวขั้นตอนอาจยุ่งเยอะ อาจเป็นวิธีการทำงานของเค้า เพื่ออะไร เราไม่ทราบ แต่เมื่อเราจะใช้สิทธิ เราก็ต้องใจเย็นๆ ถ้าไม่ผิด ไม่โกง ถึงไหนถึงกัน ผมเชื่อในความยุติธรรมว่ามันมีในโลกนี้
4 อย่าประมาทครับ โดยเฉพาะเพื่อนๆรุ่นราวคราวเดียวกับผม คุณต้องหาประกันสุขภาพอะไรสักอย่างที่คุณหาได้มาเตรียมเอาไว้ และควรมีมากกว่า1 อย่าง เพราะอะไรก็ไม่แน่นอน คนไทยทุกคนมีสิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรคครับ แต่ก็อย่างว่า ถ้ามันเป็นอะไรจริงๆ คุณก็อยากหาทางเลือกที่มันดีที่สุด เวลาคนเรามันไม่สบายหรือใกล้ตายนี่ สมองมันจะอื้อๆ โง่ๆ ครับ คิดอะไรไม่ค่อยออกหรอก เชื่อผมเถอะ
5 ข้อนี้สำคัญที่สุด โดยเฉพาะพวกผู้ชาย ทำไมต้องผู้ชาย ก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะไม่เคยเป็นผู้หญิง หาเพื่อนดีๆครับ เชื่อผมได้เลย เพื่อนมันจะเป็นคนช่วยคุณครับ พ่อแม่เมีย ครอบครัวน่ะช่วยเราอยู่แล้ว ผมไม่ได้เถียง แต่ถ้าคุณมีเพื่อนดีๆ สักคนนี่ แม่งยิ่งกว่าพกมีดสวิส วิคเตอริน๊อกอีก มันจะช่วยคุณทุกอย่างทั้งที่ขอร้อง และแบบมันเสือกมาช่วยเอง55555 ต้องขอบคุณเพื่อนคนหนึ่งที่มันดีกับผมมาก ทั้งๆที่หน้าตามันเหี้ยและปากหมา แถมอิจฉาความหล่อของผมที่มากกว่ามันมาโดยตลอดกว่า 30 ปีที่รู้จักกัน เพือนคนนี้เป็นคนเสนอออกค่าใช้จ่ายผ่าตัดให้ก่อนโดยไม่สนว่าประกันมันจะจ่ายหรือไม่ เพื่อนคนนี้เป็นคนช่วยรับผมเข้าทำงานเพื่อให้มีประกันสังคม และเพื่อนคนนี้ยังเป็นคนไปจ่ายค่ามัดจำผ่าต้อกระจกที่รัตนินให้อีก และนอกจากนั้น มันยังเลี้ยงเหล้าผมทุกครั้งที่เจอหน้ากัน 555555 มันดีจริงๆ ขอบอก
สุดท้ายนี้ เรื่องจบลงด้วยดีครับ บูพาจ่ายทั้งหมด 54500 บาท AIA จ่าย 3500 บาท ผมจ่ายเอง 3500 บาทและกำลังให้เพื่อนดูว่า ยอดที่ผมจ่ายนี้ AIA เคลมได้เหรอเปล่า ชีวิตเป็นของเราครับ เราใช้ได้ เราซ่อมได้ แต่อย่าประมาท โชคดีทุกท่านครับ

มหากาพย์แห่งสายตาผ่าต้อกระจก ตอนที่ 5

ความเดิมตอนที่แล้ว เคสผ่าต้อกระจกของผมต้องรอการตรวจสอบ ใช้เวลาไม่เกิน 90 วัน หลังเจรจากับบูพาไม่เป็นผลต้องรออย่างเดียว
หลังจากวางสายกับบูพาไม่นาน ผมก็ได้รับเมล์จากบูพา เปิดอ่านก็เจอไฟล์แนบเป็นเอกสารให้กรอกเรื่องขอตรวจสอบประวัติ ในเมล์บอกว่า ให้ปริ้นท์ออกมา 5 ชุด กรอกเอกสารให้ครบทุกอย่างพร้อมสำเนาบัตรประชาชน ส่งใส่ซองลงทะเบียนกลับที่ที่บริษัท ผมก็จัดการอย่างไม่รอช้าล่ะครับ เพราะที่เจ้าหน้าที่เค้าบอกนี่ 90 วันนับจากวันที่ทางบูพาได้รับเอกสาร จัดการเรียบร้อยตรวจทานความถูกผิดยิ่งกว่าเอกสารอัยการส่งฟ้องคดีการเมือง 55555 กลัวเร่องเสียเวลาอ่ะครับ ได้รับเมล์วันศุกร์เย็น วันจันทร์รีบส่งส่งทะเบียนทันที พร้อมโทรไปบอกว่า "ผมส่งเอกสารไปให้แล้วนะครับ" 555555 ก็กลับมานอนรอความหวังว่า ไอ้ทีบอกว่าไม่เกิน 90 วันมันอาจจะเป็นแค่ 9 วันก็ได้ใครจะไปรู้ ก็โทรตามเรื่องมันทุกวันเลยแหละครับ ส่งวันจันทร์วันพุธโทรไป ก็ได้รับแจ้งว่า ทางบูพาได้รับเอกสารเรียบร้อยแล้ว อืมเริ่มมีกำลังใจขึ้นมาหน่อย ก็กะว่า เอาหน่า ให้เจ้าหน้าที่เค้าทำงานหน่อย อย่าไปเร่งเค้ามากเดี่ยวเค้าจะหมั่นไส้ วันจันทร์หน้าผมก็โทรไปเช็คอีกที "เป็นไงครับ เคสของผมตรวจสอบผ่านไหมครับ" " ค่ะ ทางเราได้รับเรื่องแล้วค่ะ " " คือได้รับเรื่องอ่ะ ผมรู้แล้ว แต่โทรมาถามความคืบหน้าอ่ะครับ" " อ่อ ขอเช็คก่อนนะค่ะ" ผมก็นึกในใจน่ะว่า ตอบตามสูตรกันจริงๆ55555 " ฝ่ายตรวจสอบรับเรื่องไปแล้วค่ะ" "ครับ แล้วคืบหน้ายังไงบ้างครับ" "ค่ะ ก็คือรับเรื่องไปแล้วค่ะ" 55555 ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า ไม่มีความคืบหน้าอะไร ถามซักไซร้ไล่เรียงมาก เดี่ยวน้องคนรับโทรศัพท์เค้าจะเสียอารมณ์เปล่า " ok ครับ งั้นผมโทรมาเช็คเรื่อยๆน่ะครับ " " เดี่ยวเรื่องเรียบร้อย ทางเราจะโทรแจ้งเองค่ะ" "ไม่เป็นไรครับ เดี่ยวสักอาทิตย์หน้า ผมโทรมาถามแล้วกันครับ แค่นี้นะครับ" 
หลังวางสาย ผมเริ่มยอมรับแล้วว่า ปาฎิหาริย์ไม่มีจริง ผมคงต้องรอและรอเท่านั้น แล้วคำถามที่ตามมาคือ ถ้าผมรอจนครบ 90 วัน แล้วเคสตรวจสอบผมไม่ผ่านล่ะ ผมจะทำยังไงกับต้อกระจกของผมดี เพื่อนฝูงหลายคนรวมทั้งครอบครัวที่ทราบข่าวก็ถามไถ่เรื่องราวกันมา เพื่อนสนิทผมคนหนึ่งที่ค่อนข้างจะมีสตางค์เอ่ยกับผมว่า "เฮ้ย มึงไปผ่าเลย ไม่ต้องรอมันหรอก ไอ้ห่า ตั้ง 90วัน เดี่ยวตามึงก็บอดหรอก มึงผ่าวันไหน เดี่ยวกูไปจ่ายตังให้ก่อน เคลมได้แล้วค่อยเอามาคืนกู" "อ้าว แล้วถ้าแม่งเคลมไม่ผ่านล่ะ กูจะเอาที่ไหนมาคืนมึง" "แม่งไม่ขนาดนั้นหรอก มึงก็มั่นใจนี่ ว่าไม่มีประวัติโรคอะไรที่มันว่า และถ้าแม่งเคลมไม่ได้จริงๆ ก็ช่างมัน เดี่ยวค่อยไปฟ้องเอา" ผมมองหน้าเพื่อนด้วยแววตาซาบซึ้งเพราะขณะที่คุยกันนั้น เบียร์ได้หมดไปเยอะแล้ว 5555 " ไม่อ่ะ กูจะเอาให้จนเรื่องตรวจสอบผ่าน กูอยากรู้แม่งเหมือนกัน ว่ามันจะเป็นยังไง นี่มันยังแค่ต้อกระจก โรคโคตรเด็กๆ แล้วถ้าเป็นพวกมะเร็งอะไรนี่จะขนาดไหน" เพื่อนมองหน้าผมด้วยความระอาในความดื้อรั้น " ตามใจมึง ไอ้ห่า บอดขึ้นมาไม่ต้องมาให้กูเลี้ยงเหล้านะมึง ไปขอทานหาแดกเอาเอง" ผมหัวเราะแบบขำตัวเอง เออนะ ถ้าตาบอดขึ้นมาจะทำไง แต่ความจริงแล้ว ตั้งแต่ผมรู้ว่าตัวเองเป็นต้อกระจก ผมหาข้อมูลเรื่องนี้มาโดยละเอียดแล้วแหละครับ ว่าสาเหตุ หรือต้นตอ ความร้ายแรงมันเป็นยังไง ต้อกระจกนี่ คนแก่ๆ อายุเลย 70 เป็นกันแทบทุกคนจะเรียกว่า เป็นโรคคู่ตัวคนแก่เลยก็ว่าได้ บังเอิญผมดันเป็นตอนอายุไม่ถึง 50 เป็นเร็วไปหน่อยเท่านั้น สาเหตุก็มาจะมาจากเรื่องหน้าที่การงานที่ต้องใช้สายตาแหละครับ และจากการตรวจของหมอ ผมเองก็ยังไม่ได้เป็นขั้นหนักหนาอะไร เรียกง่ายๆ ว่าอีกนานกว่าตาจะบอดแหละครับ รู้เขารู้เราแล้ว ผมก็ใจเย็นที่จะเล่นไปตามน้ำแหละครับ 
แต่ผมไม่เคยประมาทกับการใช้ชีวิตครับ ถึงจะใช้ชีวิตอิสระไม่มีความแน่นอนอะไรแต่ผมมองชีวิตด้วยความระมัดระวังเสมอ ตั้งแต่ตอนที่ผมเริ่มรู้สึกว่า ตาผมมันมัวๆ พร่าๆ ผมเริ่มหาข้อมูลเรื่องโรคตาต่างๆ ว่าค่ารักษาเท่าไร รพ ไหนถูก รพ ไหนแพง รพ ไหนเค้าว่าดี หาอ่านไปเรื่อยครับ เจอใครก็ถามเอาไว้ เมื่อรู้ราคาของการผ่าต้อกระจก ก็ได้แต่อึ้งครับ ถ้า บำรุงราษ ก็ประมาณ แปดหมื่น รัตนิน หกหมื่น ถ้าพวกกลุ่ม รพรัฐ ก็สามหมื่นสี่หมื่น เรียกได้ว่า ไม่มีถูกๆครับ อันนี้ผ่าแบบทันสมัยสุดนะครับ อัตราซาวไปเอาต้อกระจกออกมา แล้วใส่เลนส์เทียมเข้าไป เมื่อทราบราคาแล้วก็เอามาคิดว่า ถ้าประกันมันไม่จ่ายผมจะทำยังไง ผมไม่มีสิทธิประกันของรัฐอะไรสักอย่าง จะไปทำได้ก็คือ 30 บาทรักษาได้ทุกโรค ซึ่งคนไทยทั่วไปทำได้ทุกคน แต่ที่นี้ถ้าใช้สิทธิ 30 บาทนี่ คิวผ่าต้อกระจก ยาวมาก ยาวเป็นปีเลยทีเดียว ผมก็มองแผนสำรองเอาไว้ ประกันสังคมไง คุณภาพดีไม่แพ้ ประกันพวกเอกชนเลย แต่ผมไม่ใช่ลูกจ้างนี่หว่า ทำไงดีล่ะถึงจะทำประกันสังคมได้ ขณะที่นั่งกินเหล้ากับเพื่อนไป นั่งคิดไป ก็นึกได้ เฮ้ย เพื่อนเรานี่แม่งเจ้าของบริษัทเพียบเลย นี่หว่า ก็ไปเป็นลูกจ้างมันซิว่ะ จะไปยากอะไร หันมาเจอเพื่อนสนิทเจ้าของบริษัทใหญ่พอดี สบตามันปิ๊งปั่ง พร้อมเอ่ยปาก " เฮ้ย มึงรับกูเป็นแมสเซนเจอร์ ส่งของหน่อยดิว่ะ เงินเดือนเท่าไรก็ได้ " เพื่อนผมกำลังยกเหล้าเข้าปากแทบสำลัก " อืม มีงนี่ นอกจากตาจะบอดแล้ว สมองยังเริ่มเสื่อมอีก เป็นห่าอะไร จะมาเป็นแมสเซนเจอร์ตอนแก่จะห้าสิบ เค้ามีแต่ชีวิตพัฒนาขึ้นดีขึ้น มึงจากผู้กำกับสารคดี จะมาเป็นแมสเซนเจอร์ เมาเปล่ามึง" " กูไม่ได้เมา โห ด่าซะยาว" ผมก็เลยอธิบายมันไปว่า ผมอยากมีประกันสังคมเอาไว้ เผื่อประกันเอกชนที่ทำๆเอาไว้มีปัญหา จะได้มีทางเลือก " อ๋อ ก็ไม่บอกแต่แรก ว่าจะทำประกันสังคม เสือกบอกจะมาสมัครเป็นแมสเซนเจอร์ กูจะรู้เหรอ เอางี้อาทิตย์หน้า มึงโทรไปที่ฝ่ายบุคคล บริษัทกู บอกชื่อเค้า เดี่ยวกูจะแจ้งเรื่องเค้าเอาไว้ให้ก่อน ว่าแต่มึงจะเอาตำแหน่งแมสเซนเจอร์จริงเหรอ" " เออ แมสเซนเจอร์นี่แหละ กูชอบขับมอไซค์ สมัยหนุ่มๆ ก็เคยเป็นมาแล้ว" สรุปผมก็เลยมีประกันสังคมมาเตรียมเอาไว้อีกอย่างของชีวิต 555555 ซับซ้อนเกินไปเปล่านี่ ใกล้จบแล้วครับ อีกนิดเดียว โชคดีทุกท่านครับ

มหากาพย์แห่งสายตาผ่าต้อกระจก ตอนที่ 4

ความเดิมจากตอนที่แล้ว ผมได้รับคำตอบจากประกันบูพาว่า เคสของผมต้องรอตรวจสอบไม่เกิน 90 วันเพราะอาจเป็นโรคต่อเนื่องซึ่งผมจะก็ไปนัดผ่าตาวันเอาไว้แล้ว มาดูกันตาอว่า เรื่องราวจะเป็นอย่างไรกันดีกว่าครับ
ผมพยายามเจรจาต่อรองกับเจ้าหน้าที่ของบูพาต่อไป " ผมนัดผ่าต้อกระจกกับทางรัตนินพรุ่งนี้แล้วนะครับ มีวิธีไหนที่จะให้การตรวจสอบทันไหมครับ "ขณะที่ผมโทรคุยกับบูพาอยู่นั้น คือวันศุกร์ตอนเที่ยงๆ "ตามระเบียบเราต้องตรวจสอบไม่เกิน 90 วันค่ะ " "แล้วเร็วที่สุด นี่สักกี่วันครับ " ผมถามเผื่อมีความหวัง "แต่เสียงตอบที่ปลายสายก็ทำเอาผมหมดหวังทันทีเหมือนกัน " ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่ไม่เกิน 90 วันแน่ๆค่ะ คุณอนุทินสามารถดูในกรรมธรรม์ได้เลยน่ะค่ะ ข้อ..........(เยอะมากๆๆๆ) มีเขียนไว้หมดแล้ว ผมก้มดูกรมธรรม์ประกันบูพาที่อยู่ในมือ เปิดไปที่หน้าที่เจ้าหน้าที่บอกมา 55555555 พระเจ้าช่วยด้วยเถอะ ต่อให้เป็นคนสายตาดีๆ ก็คงต้องเพ่งอ่านแบบตั้งใจมากเพราะขนาดตัวอักษรที่เล็กและก็อย่างว่า ข้อความแบบสัญญาทั่วไป ที่มีแต่ทนายความและผู้พิพากษาเท่านั้นที่สามารถแปลความหมายได้ คนธรรมดาอ่านแล้วก็ต้อง งงๆ เป็นธรรมดาแถมอ่านนานๆ เผลอหลับไปเลยก็มี คนสายตาดีๆ ยังยากแล้วคนสายตามีปัญหาอย่างผมจะขนาดไหน "สักครู่ครับ เดี่ยวหาแว่นก่อน ครับ" ผมคว้าแว่นตามาพยายามอ่าน อืม ไม่เห็นว่ะ เอาไงดี หว่า เหลือบไปเห็น แว่นขยายสำหรับส่องชิ้นงานเวลาต้องบัดกรีซ่อมอุปกรณ์กล้อง เอาได้ไอเดีย เอาว่ะ เอาแว่นขยายนี่แหละ ส่องอ่าน อืม มีจริงๆ 90 วัน แต่ข้อความรวมๆ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจทั้งหมดหรอก แต่มันประมาณว่า โรคนั้นต้องตรวจ โรคนี้ไม่คุ้มครอง ถ้าอุบัติเหตุใช้ได้เลย แต่ต้องหลังประกันคุ้มครองแล้วกี่วัน อะไรประมาณนี้ ผมก็ไม่ได้สงสัยหรอกครับว่า มันจะไม่มีในประกัน เพราะถ้าเจ้าหน้าที่เค้ายืนยันแบบนั้น มันมีแน่ๆ แต่ที่สงสัยคือ หลังจากลูกค้าทำประกันไปแล้ว ก็ไม่ขอตรวจสอบประวัติลูกค้าไปเลยว่า ที่แจ้งในเอกสารตอนทำประวัติมันจริงหรือเท็จ เวลาลูกค้าจะเคลมก็จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาตรวจสอบ เพราะส่วนมากลูกค้าที่ทำประกันสุขภาพนี่ คนทำต้องคงต้องมั่นใจว่าตัวเองจะป่วย แต่จะป่วยด้วยโรคอะไร หรือเมื่อไรคงไม่ทราบเวลาหรอกครับ รู้แต่ว่าอุตส่าห์ส่งประกัน ปีละไม่น้อย อย่างของผมนี่ ส่งเดือนละ ประมาณ 2000 บาทปีหนึ่งจ่ายเบี้ยเกือบ สามหมื่นบาท และเป็นแบบไม่สะสมนะครับ เสียทิ้งแบบปีต่อปี ยอมจ่ายมาตลอดเพราะกลัวเวลาเจ็บไข้ต้องจ่ายเงินค่ารักษาเป็นเงินก้อนใหญ่และต้องมาสำรองจ่ายไปก่อน หลังจากอ่านข้อความกรมธรรม์และตั้งสติให้มั่นก็ถามต่อ " ok ครับผมเข้าใจแล้วว่าต้องตรวจสอบ แล้วผมจะต้องทำอย่างไรบ้างครับ แล้วแน่นอนว่า ยังไงวันนี้ก็ตรวจสอบไม่ทันแน่นอนน่ะครับ" " ค่ะ ไม่ทันหรอกค่ะ คุณอนุทิน มีอีเมล์ไหมค่ะ เดี่ยวจะส่งเมล์ แนบเอกสารการขอตรวจสอบประวัติไปให้ กรอกรายละเอียดแล้วส่งทะเบียนกลับมาที่บริษัทเลยค่ะ จะดำเนินการให้ทันที" ผมก็แจ้งอีเมล์ไป พร้อมพูดต่อไปว่า " ยังไงก็ช่วยรีบดำเนินการให้ผมหน่อยแล้วกันครับ แต่ตอนนี้ผมคงต้องโทรไปยกเลิกกับทางรัตนินเค้าก่อน ว่าไม่สามารถผ่าตัดวันพรุ่งนี้ตามที่นัดได้ " เสียงปลายสายจากบูพา ตอบมา " จะรีบดำเนินการให้เลยค่ะ แต่คุณอนุทินค่ะ ถ้าไม่รีบผ่าตัดต้อกระจก อาจมีอันตรายต่อสายตาได้น่ะค่ะ ไม่ผ่าไปเลยพรุ่งนี้ แล้วสำรองจ่ายไปก่อนล่ะค่ะ" โอ้ น้ำตาผมไหลเป็นทางด้วยความซาบซึ้ง มีห่วงกลัวผมจะตาบอดอีกนะนี่ 5555 สัญชาติญาณของคนทำละครฝันที่เป็นจริงเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว กลับเข้าสิงร่างทันที ผมตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ " ผมคงไม่กล้าไปผ่าก่อนหรอกครับ เพราะที่ทำประกันสุขภาพเอาไว้ ก็เพราะผมตัวคนเดียว ไม่มีลูกเมีย ต้องดูแลตัวเอง เงินที่เก็บเอาไว้ ก็เผื่อว่าต้องไปอยู่บ้านพักคนชรา จะได้มีไว้ใช้สอยนิดหน่อย ถ้าเอามาใช้จ่ายค่าผ่าตัดก่อน เกิดอะไรขึ้น ตรวจสอบไม่ผ่านเคลมไม่ได้ ผมคงไม่มีโอกาสที่จะเก็บหอมรอมริบเงินได้อีก ผมคงต้องรอแระครับ แต่ผมจะรอด้วยความหวังครับ ผมเชื่อ ผมครัทธาในการใช้ชีวิตมาโดยตลอด " ด้วยเสียงที่เศร้าๆและพูดช้าๆแบบคนที่ปลงชีวิตของผมทำทำให้เจ้าหน้าที่ของบูพาเงียบไปนาน 555555555555 "ค่ะ ค่ะ " หล่อนตอบได้แค่นั้น " ผมจะรอนะครับ อย่าลืมนะครับ ว่าตรงนี้ยังมีคนรอ แค่นี้นะครับ สวัสดีครับ" ผมทิ้งคำพูดสุดท้ายให้หายไปกับการวางโทรศัพท์ แล้วก็หัวเราะกับตัวเอง5555555 กูอยากจะตาย เอาไงดีว่ะนี้ แต่ที่แน่ๆ โทรไปหารัตนินก่อน " ขอแจ้งเลื่อนผ่าตัด เคสหมายเลขนี้ครับ " "ค่ะ จะสะดวกอีกทีวันไหนดีค่ะ " " อืมไม่เกิน 90 วันครับ" " " อืม ทำไมนานขนาดนี้ล่ะค่ะ " "คือประกันผมเค้ายังไม่ยอมจ่ายอ่ะครับ แล้วผมก็ไม่มีเงินมาสำรองจ่ายก่อนด้วยครับ" "ค่ะ ค่ะ เข้าใจค่ะ" เสร็จเรื่องการโทรเลื่อนรัตนิน ผมก็เริ่มคิดหาทางออกว่าจะเอายังไงดีกับชีวิตต้อกระจกอันนี้ ยอมรับครับว่า มีนจริงๆ แต่ไม่งงเท่าไร เพราะจะว่าไป ผมเคยทำงานกับพวกบริษัทประกันมาพอสมควร แต่ไม่ใช่ไปขายประกันนะครับ พอรู้ว่าข้อสัญญากรมกรรธ์อะไรพวกนี้อ่ะ มันจะมีปัญหาตลอด แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะมาเจอแบบนี้ ปัญหามันอยู่ตรงไหนครับ ปัญหาแรกคือ การขายประกันนี่แหละ ทั้งแบบมีคนขายหรือไม่มีคนขายคือ การไม่พูดให้หมด ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องที่ต้องกระจ่างใส เป็นเรื่องของชีวิต เหมือนที่กำลังมีปัญหากันอยู่ตอนนี้อ่ะ แข่งโฆษณากันเต็มจอทีวี ว่าไม่ต้องตรวจสุขภาพ ทำเลย จะได้ไม่เป็นภาระลูกหลาน 555555 ตีความแบบคนปกติพูดกัน ไม่ต้องตรวจสุขภาพ ทำได้เลย นี่คือ ถ้าเจ็บไข้ มีประกัน ประกันก็จ่าย ใช่ไหมครับ แต่ความจริงก็คือ ไม่ใช่ครับ ตอนคุณทำประกัน คุณก็ต้องกรอกรายละเอียด ว่าเคยเป็นโน่นเป้นนี่หรือเปล่า ถามจริงคนทั่วๆไป หาเช้ากินค่ำ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของโฆษณาชุดนี้อ่ะ เคยมีใครไปตรวจร่างกายแล้วรู้ว่า ตัวเองเป็นอะไรบ้างล่ะครับ ส่วนมากไม่รู้หรอก ถ้าไม่เจ็บจนลุกไม่ขึ้นก็ไม่เคยไปหาหมอกันทั้งนั้น โฆษณาเรื่องเจ็บไข้ตาย นี่ มันเป็นเรื่องต้องตีความกันเหรอครับ ว่าอ่านไม่ครบเอง หรือไม่ยอมอ่านเอง หรือกรอกไม่ครบ แจ้งให้หมดเลยสิครับ ว่ามันมีอะไรบ้าง โฆษณาทางทีวี มันแพง มีเวลาแค่ นาทีสองนาที มันพูดไม่หมดอ่ะ ผมเข้าใจ แต่ความหมายมันต้องไม่ชวนให้คิดผิดสิครับ และเวลาที่มารับทำ คนขายต้องตรวจเช็คให้ละเอียด ส่งเข้าบริษัทตรวจเช็คกันอีกที ถ้าใช่คุณสมบัติอย่างที่บริษัทประกันต้องการค่อยรับทำประกัน ไม่ใช่ รับๆเข้าไป ลูกค้าก็จ่ายค่ากรมธรรม์ไปแล้ว พอมีปัญหาก็มายกเลิกกรมธรรม์ บอกผิดข้อนั้นข้อนี่ ถามจริงเหอะ ทำธุรกิจอย่างนี้ โฆษณาอย่างนี้ ผิดหรือถูก 
ยังมีต่อนะครับ ว่าผมจะจัดการกับต้อกระจกสุดรักของผมอย่างไร เรื่องมันยาว 5555 โชคดีครับ

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558

มหากาพย์แห่งสายตาผ่าต้อกระจก ตอนที่ 3

จากความเดิมตอนที่แล้ว เมื่อทางรัตนินแจ้งให้ผมทราบว่าประกันของบูพาที่ผมจะใช้เคลมในการผ่าตัดต้อกระจกในวันเสาร์มีปัญหา หากจะผ่าตัดผมต้องสำรองจ่ายเงินเกือบหกหมื่นบาทไปก่อนแล้วไปเคลมกับบูพาเอาเอง
ผมจึงโทรศัพท์ไปที่บูพาทันที พนักงานรับสายด้วยเสียงสดใสในรูปแบบของพวก call center ที่พวกเราคุ้นเคย "สวัสดีครับ ผมลูกค้ากรมธรรม์หมายเลขนี้นะครับ ทาง รพ แจ้งมาว่า มีปัญหาเรื่องเคลมติดต่อตรงไหนได้ครับ" สักครู่น่ะค่ะ คุณลูกค้า ขอตรวจสอบก่อนค่ะ" "กรมธรรม์ของคุณลูกค้าเป็นแบบ ........ สามารถใช้บริการที่ รพ ในรายชื่อของเราได้เลยน่ะค่ะ" ผมตอบ " ก็ไปใช้บริการที่ รพ ในรายชื่อนั้นแระครับ ทาง รพ บอกว่ามีปัญหา" ผมตอบกลับพร้อมนีกในใจ กูก็บอกไปแล้วนี่หว่า ว่าไป รพ แล้วมีปัญหา ไอ้ที่อยากรู้น่ะ ปัญหามันคืออะไร เสียงสดใสชวนเคลิ้มตอบกลับมาว่า " ค่ะ เดี่ยวดิชั้นตรวจสอบให้อีกทีนะค่ะ" "ครับ หมายเลข.....นี่น่ะครับ" ปลายสายบูพาก็เงียบหายไปสักพัก " สามารถใช้บริการที่ รพ รัตนิน ได้เลยค่ะ " "ก็ทางรัตนินเค้าบอกผมมาว่า วันเสาร์พรุ่งนี้ที่จะผ่านี่ มันแฟ็กซ์เคลมไม่ได้ ผมต้องออกเงินค่าผ่าไปก่อน ผมจึงอยากรู้ว่า มันเรื่องอะไรเหรอครับ" "คุณลูกค้าสำรองจ่ายไปก่อนได้เลยค่ะ แล้วส่งเอกสารมาเคลมทีหลัง" ผมชักเซ็งๆ " ผมถามว่า มันมีปัญหาอะไรอ่ะครับ มันถึงเคลมเลยไม่ได้ แล้วจะผ่าพรุ่งนี้แล้ว ค่าผ่า 54000 บาทผมจะไปหาเงินที่ไหนทันล่ะครับ" พนักงานบูพา " ค่ะๆ เดี่ยวตรวจสอบทีกทีน่ะค่ะ " "ครับ ตรวจสอบเลย ทาง รพ เค้าก็รอคำตอบจากผมอยู่" หายไปสัก สิบนาที " สำหรับ กรณีการผ่าตัดต้อกระจกนี่ ต้องมีการตรวจสอบประวัติก่อนค่ะ ถึงทำการเคลมได้ค่ะ" " อ้าว ผมก็โทรมาถามแล้วนี่ครับ ว่าต้อกระจกนี่คุ้มครองหรือเปล่า ทางบูพาก็บอกว่า ต้อกระจกนี่ กรมธรรม์ของผมคุ้มครอง ผ่าตัดได้เลย แล้วจะต้องตรวจสอบอะไรอีกล่ะครับ" "คือ ต้อกระจกนี่ คุ้มครองค่ะ แต่ถือว่า เป็นโรคที่ต่อเนื่อง( ผมจำศัพท์ที่เรียกไม่ได้อ่ะครับ) ต้องมีการตรวจสอบก่อนค่ะ" ผมนึกในใจ ตรวจก็ตรวจว่ะ เดี่ยวนี้มันใช้คอมพิวเตอร์ออนไลน์กันหมดแล้ว ผมทำประกันบูพามานานแล้วเหมือนกัน กดดูแป๊ปเดียวก็รู้ " ok ครับ คุณกดดูประวัติของผมได้เลยครับ กรมธรรม์นี้ เกือบสามปี ส่วนอันเก่าที่มันขาดส่งไปนิดเดียวก็ทำมาหลายปีอยู่ ว่าผมมีประวัติไอ้โรคต่อเนื่องอะไรนี่ หรือเปล่า" ปลายสายบูพา " ต้องตรวจสอบกับทาง รพ ค่ะ" " ก็โทรไปถามที่ รัตนิน เลยสิครับ ผมก็ตรวจที่นี่มาตลอด ที่รัตนินนี่เป็นคนบอกว่าผมเป็นต้อกระจก ถึงจะต้องผ่าไงครับ" ผมชักมีอารมณ์เสียปนเซ็ง แบบอะไรว่ะ ก็รัตนินไปคนทำเรื่องเคลมมาหาบูพา ถ้าทางบูพาต้องตรวจสอบ ก็ขอประวัติการตรวจของผมกับรัตนินได้เลย มันยุ่งตรงไหนว่ะนี่ ปลายสายเงียบไปอีดใจ " ทางเราต้องตรวจสอบกับ รพ อื่นค่ะ ว่าคนไข้ไม่มีประวัติโรคต่อเนื่อง " อะไรของมันว่ะเนี่ย ผมตรวจตาที่รัตนินมา หลายรอบ เพิ่งมาเจอว่าเป็นต้อกระจก เอาครั้งสุดท้ายนี่ ถ้าเจอตั้งแต่ครั้งแรกๆ ผมก็ผ่าไปแล้วดิ จะเก็บเอาไว้ด้วยเหตุผลอะไร ผมถามต่อ " แล้วจะตรวจสอบกับ รพ ไหนล่ะครับ ผมก็ตรวจกับรัตนินมาที่เดียว หลักฐานการเคลมเก่าของผมที่บูพาก็มีอยู่ แล้วพรุ่งนี้ผมจะต้องผ่าแล้ว เอาไงครับนี่" "งั้นเดี่ยวคุยกับเจ้าหน้าที่อีกคนน่ะค่ะ" "ครับ คุยกับใครก็ได้ครับ" สักครู่ เสียงสดใสเสียงใหม่ก็เข้ามาในสาย " สวัสดีค่ะ คุณอนุทิน ในกรณี อย่างนี้ เราต้องตรวจสอบประวัติของคนไข้ก่อนค่ะ มันเป็นระเบียบของบริษัท" ผมนึกในใจ ไอ้คำนี่มาอีกแล้ว ระเบียบบริษัท ซึ่งมันหมายความว่า อะไรที่เค้าตอบเราไม่ได้ มันจะกลายเป้นระเบียบบริษัททันที 555555 " ผมเข้าใจครับ ระเบียบบริษัท พวกคุณก็เป็นพนักงานบริษัท ไม่ใช่เจ้าของบริษัท ไงก็ต้องทำตามระเบียบ ผมก็ยินดีให้ตรวจสอบนี่ครับ ก็ตรวจไปเลยสิครับ ผมจะต้องผ่าพรุ่งนี้แล้ว" " เอ่อ คือเราต้องใช้เวลาตรวจสอบ ไม่เกิน 90 วันค่ะ " สิ้นเสียงปลายสาย 90 วัน 3 เดือนนี่น่ะ สมองผมเริ่มทำงานช้าลงเพราะความมีนๆ " ครับๆ 90 วัน เฮ้ย คุณ ผมจะต้องผ่าพรุ่งนี้แล้ว ตรวจสอบ 90 วัน คุณจะตรวจตั้งแต่ ผมเกิดแล้วเหรอ ทำไมมันนานขนาดนั้นล่ะครับ" " มันเป็นระเบียบบริษัทค่ะ " แหม ผมนี่อยากไปฆ่าไอ้ระเบียบบริษัท คนนี้จริงๆ "เราต้องตรวจสอบ 5 รพ ค่ะ " ผมมีนต่อเนื่องอย่างแน่นิ่ง 5 รพ 90 วัน 5555555555555 ขอสลบแป๊บ " โห คุณ แล้วผมโทรมาถามก่อนแล้วว่า ต้อกระจกนี่คุ้มครองไหม พวกคุณก็บอกคุ้มครอง ผมก็จะไปผ่า " " เราคุ้มครองน่ะค่ะ แต่ขอตรวจสอบก่อนค่ะ" " อ้าวแล้วถ้าตรวจสอบไม่ผ่านล่ะ" " ก็ไม่คุ้มครองค่ะ" ผมถามต่อ " แล้วพวกคุณบอกว่า คุ้มครองค่ะ ช่วงตรวจสอบลูกค้าสำรองจ่ายไปก่อนเลย แล้วถ้าผมไม่ผ่าน ผมก็ออกเงินฟรีน่ะสิ อย่างนี้ผมจะไปกล้าใช้สิทธิประกันของคุณได้ยังไงล่ะ ผ่า รพ เอกชนมันแพง ผมก็ต้องไปใช้สิทธิ 30 บาท ผ่าต้อกระจกน่ะดิ ผมจะไปเอาเงินที่ไหนมาจ่ายล่ะ " ผมพูดยาวเพราะเริ่มรันทดชีวิตแระ " ตอนโทรมาถามเรื่องสิทธิประกันผ่าต้อกระจก ทำไมคุณไม่แจ้งเลยว่า มันต้องตรวจสอบ ใช้เวลาขนาดนี่ จะได้วางแผนถูก นี่ผมจะผ่าพรุ่งนี้แล้ว ค่าตรวจเตรียมผ่าตัด ตั้งเกือบ 4000 บาทก็จ่ายไปแล้ว" ปลายสายจากบูพายังสดใสเหมือนเดิม " ทางเราต้องรอเอกสารแจ้งเคลมมาก่อนค่ะ ฝ่ายตรวจสอบถึงจะทำการตรวจ " " ตรวจสอบล่วงหน้าก่อนไม่ได้อีก" "ค่ะ ล่วงหน้าไม่ได้ค่ะ" " อ้าวแล้วถ้ามันเป็น เคสแบบรอไม่ได้ เป็นเรื่องเป็นตาย แล้วลูกค้าไม่มีเงินมาสำรองจ่าย แล้วเค้าจะทำยังไงล่ะครับ " ปลายสายบูพา เงียบไป แต่ผมนึกในใจว่า หล่อนคงจะตอบในใจด้วยเสียงสดใสเหมือนเดิมว่า ก็เรื่องของมึงนี่ค่ะ ส่วนเรื่องของกูมันเป็นระเบียบบริษัทค่ะ 5555555555
ยัง ยังไม่จบง่ายๆ ครับ มันยาวขนาดต้องตั้งชื่อว่า มหากาพย์ มันต้องหลายตอนแน่ๆ เดี่ยวจะเล่าให้ฟังต่อ ว่าผมต้องเจอกับอะไรบ้าง โชคดีครับ ทุกท่าน

มหากาพย์แห่งสายตาผ่าต้อกระจก ตอนที่ 2

ติดงานถ่ายซะไม่มีเวลาเขียนเลย วันนี้เพิ่งเลิกจากกองถ่ายมา เอาไฟล์เข้าโปรแกรมตัดต่อก็เลยมานั่งเขียนเล่าเรื่องกันต่อ ต่อจากตอนที่1 ที่ผมเล่ามาถึงว่าผมได้ค้นพบว่าตัวเองเป็นต้อกระจกแล้วมีความดีใจมาก (ถ้าหลายท่านสงสัยว่า เป็นต้อกระจกแล้วทำไมดีใจก็ลองไปอ่านดูเอาในตอนที่1นะ5555) เมือคุณหมอแห่งรัตนินแจ้งข่าวดีเรื่องต้อกระจกกับผมและให้ตัดสินใจว่าจะผ่าหรือไม่ ถ้าจะผ่าก็ให้นัดวันผ่ากันมาและให้คำแนะนำเรื่องการผ่า การรักษา การดูแลและผลลัพท์ที่จะได้ สารพัดประกอบการตัดสินใจ
หลังออกจากรัตนินมาผมก็สามารถตัดสินใจได้ทันทีเลยครับว่า ผมผ่าต้อกระจกแน่ๆ ผมไม่เก็บเอาไว้เพื่อการศึกษาใดๆทั้งสิ้น ผมกับมันตัดสินใจแยกกันอยู่แน่ๆ คิดเรื่องผ่าต้อกระจกไป ก็มโนภาพต่อถึงอนาคตของดวงตาข้างขวาว่า เฮ้ย เราจะไม่สายตาสั้นอีกแล้ว ไม่ต้องมาใส่แว่น ใส่คอนแทคอีก อืม จะทำตัวถูกไหมนี่ 55555 คิดไปเรื่อย หมอบอกว่า หลังผ่าต้องพักสายตา 2 อาทิตย์ ผมก็ต้องวางแผนการทำงานแล้วล่ะครับ เพราะปกติงานของผมแทบไม่มีล่วงหน้า รายการทีวีที่รับผิดชอบต้องออกอากาศทุกวันจันทร์ ผมต้องส่งไฟล์รายการทุกวันศุกร์ก่อนเที่ยง ทั้งถ่ายรายการเอง ตัดต่อเอง ทำให้ผมต้องทำงานเรียกได้ว่าทุกวัน ไม่มีวันหยุด เพราะจากสายตาข้างตาที่เป็นต้อกระจก ทำให้ผมมองจอคอมตัดต่อนานๆไม่ได้ ตัดไปสัก 2-3 ชม ก็ต้องพักสายตาสัก ชม. พักไปพักมาก็หลับซะเลย 5555 เพราะฉะนั้นงานตัดรายการแบบปกติทั่วไป รายการความยาว 1 ชม เค้าจะตัดกันสัก 1 วันถึงวันครี่ง แต่ไม่เกิน 2 วัน สำหรับผมมันเลยกลายเป็น 3 วัน ออกกองถ่ายโน่นนี่ 7วันใน 1 อาทิตย์ก็หายไปอย่างรวดเร็ว ทีนี้จะทำไงดี หมอให้พักตั้ง 2 อาทิตย์ และผมมีโปรแกรมที่จะต้องไปถ่ายสารคดีที่ แอฟริกา อีกเกือบ 2 อาทิตย์ ก็เลยตัดสินใจว่า หลังกลับจากแอฟริกา สัก 2 อาทิตย์น่าจะเหมาะที่สุด คิดได้ดังนั้น ก็เริ่มแข็งใจตัดต่อรายการทีวี แบบไม่หยุดพัก เพื่อทำล่วงหน้าให้ได้ สายตามันจะล้า มันจะเบลอๆก็ช่างมัน เดี๊ยวเราก็ได้ผ่าต้อกระจก เราจะหายสายตาสั้นแระ ปลุกปลอบใจตัวเองอย่างนี้มาตลอด ผมก็ได้ทำรายการทีวีล่วงหน้าเป็นผลสำเร็จเพียงพอต่อการที่ต้องหยุดพักตามหมอสั่ง แล้วผมก็เดินทางไปถ่ายสารคดีที่แอฟริกา คิดในใจว่า เสียดายไปหน่อย ถ้าได้ผ่าต้อกระจกก่อน ผมคงทีโอกาสที่จะมองแอฟริกาอย่างแจ่มชัดกว่าที่เป็น 5555 คิดเป็นโน่น
หลังจากเสร็จงานที่แอฟริกา กลับถึงเมืองไทย ผมก็รีบติดต่อไปที่ รัตนินทันทีว่าผมพร้อมที่จะผ่าตัดแล้ว ผมจะผ่าได้วันไหน ทางรัตนินก็บอกว่า ผมต้องมาตรวจก่อน ตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง ผมก็อ้าว ตรวจอีกเหรอ นึกว่า ผ่าได้เลย แต่ตรวจก็ตรวจว่ะ เชื่อหมอเหอะ เค้าเรียนมาย่อมรูดีกว่าเรา ก็นัดวันไปตรวจตาอีกครั้ง เจอหมอก็อธิบาย เรื่องต้อ เรื่องโน่นนี่ไป แล้วก็ให้ไปตรวจร่างกายเพื่อเตรียมการผ่าตัด ผมก็นึกว่า เออ มันคงไม่มีอะไร ผ่าต้อกระจกแค่นั้น ที่ไหนได้ ผมโดนเจาะเลือด โดนวัดสารพัดเครื่องไฮเทค อะไรบ้างก็ไม่รู้ เริ่มคิดแระ เฮ้ย มันต้องขนาดนี้เลยเหรอว่ะ แต่ก็เอาไงเอากัน มาถึงขนาดนี้แล้ว ตรวจเสร็จก็เดินลงมาคุยกับเจ้าหน้าที่เตรียมการผ่าตัด วันที่ผมไปตรวจคือวันเสาร์ ตกลงได้วันผ่าคือเสาร์หน้า ผมก็ถามว่า ค่าผ่าตัดประมาณเท่าไรครับ เจ้าหน้าที่ก็มองเอกสารแล้วตอบผมว่า เคสของคุณพี่ 54,000 บาทค่ะ ผ่าข้างเดียว ใช้เลนส์ตาเทียมแบบธรรมดา สิ้นเสียง 54,000 บาทค่ะ สมองของผมก็ลอยเคว้งคว้างไปดาวอังคารเรียบร้อย ห้าหมื่นสี่พันนนนนนนนนนนน 55555 แพงได้ใจจริงๆ แต่เฮ้ย เรามีประกันนี่หว่า 5555 เราไม่กลัวหรอก โทรถามประกันบูพามาแล้ว ว่าผ่าต้อกระจกนี่ ประกันจ่ายไหม ซึ่งบูพาตอบมา คลุมครองค่ะ คุณลูกค้า ก็แจ้งกับเจ้าหน้าที่ของรัตนินไปว่า ผมมีประกันน่ะ ของบูพา ทางรัตนินก็แจ้งว่า ไม่มีปัญหาค่ะ กับทางบูพานี่ สามารถแฟ๊กซ์เคลมได้เลย ไม่ต้องสำรองจ่าย แต่ของ AIA นี่ต้องสำรองจ่ายไปก่อนน่ะค่ะ งั้นเดี่ยวหนูจะทำเรืองแจ้งไปทางบูพาให้คุณพี่เลย ขอเอกสารด้วยค่ะ ผมก็ส่งเอกสารทุกอย่างที่ต้องใช้ไปให้ เรียบร้อยแล้วค่ะคุณพี่ แต่ค่าตรวจรักษาวันนี้ 3500 บาทต้องจ่ายไปก่อนน่ะค่ะ ไม่เกี่ยวกับค่าผ่าตัดค่ะ อ้าว 3500 เลยเหรอ เอาว่ะ จ่ายก็จ่าย ไม่ต้องเสียห้าหมื่นกว่า นี่ก็ดีใจแล้ว ก็กลับบ้านมานอนฝันหวานถึงอนาคตสายตาที่แจ่มชัด
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ก็ถึงวันศุกร์ ผมก็เตรียมตัวตรวจความเรียบร้อยทุกอย่างเพราะวันเสาร์จะต้องผ่าต้อกระจกแล้ว ก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดแล้ว แต่เอะใจขึ้นมา โทรเช็ครัตนินอีกทีดีกว่า ก็เลยโทรไปเช็คกับรัดนิน "พรุ่งนี้ผมผ่าต้อกระจกตอน 5 โมงเย็นน่ะครับ ทุกอย่างเรียบร้อยไหมครับ" เจ้าหน้าที่ตอบ " เดี่ยวเช็คให้น่ะค่ะ" " เอ่อ เคสของคุณพี่ ของบูพายังไม่ตอบมาเลยค่ะ" "อ้าวแล้วผมต้องทำยังไงล่ะครับ " "ก็ถ้าทางประกันยังไม่แจ้งมา ทางคุณพี่ต้องสำรองจ่ายค่าผ่าตัดทั้งหมดไปก่อนค่ะ" ผมเริ่มมีนงง " โห เกือบหกหมื่นบาท ผมจะไปเอาที่ไหนล่ะครับ แล้วทางบูพาเค้าติดอะไรล่ะครับ ถึงเป็นอย่างนี้ " เจ้าหน้าที่ตอบ " ก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แจ้งเรื่องเคลมไปแล้ว" ผมเริ่มคิดหาทางออก " งั้นเดี่ยวผมโทรไปหา บูพาเองว่า มันติดขัดอะไรตรงไหน แล้วจะโทรกลับมาอีกทีนะครับ"
55555 เล่าซะยาว แต่รับรองด้วยเกียรติของลูกเสือสำรองเลยว่า เรื่องที่เขียนนี้ เป็นเรื่องจริงทุกประการ เดี่ยวมาเขียนเล่าต่ออีกสักตอน เพราะเรื่องบูพานี่มันยาวเลยแหละ โชคดีทุกท่านครับ

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

มหากาพย์แห่งสายตาผ่าต้อกระจก ตอนที่ 1

ครบกำหนดการพักตาหลังการผ่าตัดต่อกระจก 3 อาทิตย์ตามที่หมอสั่งเมื่อวาน ก็ไปตรวจตามที่หมอนัดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผลออกมาน่าพอใจ ปกติดีทุกอย่าง ตาข้างขวาที่ผ่าต้อกระจกออก กลายเป็นสายตาปกติ ไม่สั้นไม่ยาว
    ก็ตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่า ตาเป็นปกติเมื่อไรจะเขียนเรื่องการผ่าต้อกระจกทั้งเรื่องการผ่า แล้วเรืองของประกันสุขภาพต่างๆที่ได้ประสบพบมาเผื่อใครต้องมาเจอเหตุการณ์แบบเดียวกับผมจะได้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
   เมื่อตอนอายุเข้าวัยสี่สิบ ผมเริ่มคิดเรื่องการประกันสุขภาพของตัวเองเพราะเชื่อว่า คนเราไม่วันใดก็วันหนึ่งโดยเฉพาะเมื่อตอนอายุเริ่มมากจะต้องป่วย จะป่วยน้อยป่วยมากหรือป่วยด้วยเรื่องอะไร ไงก็ต้องป่วย ผมทำงานอาชีพอิสระมาเกือบตลอดอายุการทำงาน เคยเป็นลูกน้องพี่ต๋อยไตรภพ ทำรายการฝันที่เป็นจริง คุณขอมา ก็นานมากมาแล้วตั้งแต่สมัยเริ่มทำงานใหม่ๆ เท่านั้น ชีวิตที่เหลือก็ออกมารับจ้างทำโน้นนี่อิสระมาโดยตลอด และตอนสมัยที่เป็นพนักงานบริษัทยุคนั้นก็ยังไม่มีประกันสังคม ประกันสุขภาพอะไร จึงเรียกได้ว่าไม่เคยมีหลักประกันด้านสุขภาพอะไรเลยสักอย่าง มีอยู่ช่วงหนึ่งเคยทำประกันชีวิตเอาไว้ จำได้ว่าส่งมาได้หลายปีอยู่ ก็ไม่เคยเจ็บไข้อะไรเลยเมื่อเศรษฐกิจของไทยดิ่งลงเหวเมื่อปี 40 และผมเองก็ประสบกับพิษเศรษฐกิจต้มยำกุ้งตอนนั้นเหมือนกัน ประกันชีวิตที่เคยทำเอาไว้ก็ขาดส่งและต้องทิ้งไปในที่สุด
    แต่ด้วยความเป็นคนที่โชคดีเรื่องสุขภาพไม่มีโรคประจำตัวอะไรนอกจาก ปวดหัวแฮงเพราะกินเหล้าหนัก นอนอืดสักวันก็หายกินเหล้าได้ต่อ ผมก็เลยใช้ชีวิตแบบหลักลอยสบายๆสโลวไลฟ์มาก่อนที่เค้าจะมาฮิตกันตอนนี้ซะอีก แต่เมือเริ่มเข้าวัยสี่สิบ ผมมีความเชื่อลึกๆว่า วันหนึ่งผมจะต้องไม่สบายหนักสักอย่างแน่ๆ ที่คิดอย่างนี้ไม่ได้กลัวเรืองโรคภัยไข้เจ็บอะไรหรอกครับ กลัวเรื่องไม่มีเงินจ่ายค่ารักษามากกว่าเพราะรู้มาว่าค่ารักษาแต่ละโรคเดี่ยวนี้ ไม่มีหลักพันหรือหลายพันแล้ว มีแต่หลักหมื่นถึงหลักล้าน แล้วพอคิดอย่างนี้ก็ชัดเจนครับ ว่าผมไม่มีทางหาเงินมาจ่ายค่ารักษาได้แน่ ถึงพอจะหาได้ แต่ก็กระทบกับเรื่องปากท้องปัจจุบันแน่นอนถ้าต้องใช้เงินก้อนขนาดนั้น ด้วยการที่คิดแบบนี้ผมจึงมองหาเรื่องการประกันสุขภาพ หาข้อมูลหลายๆที่ ก็เจอแต่ส่วนมากเป็นประกันชีวิต ซึ่งพ่วงเรื่องสุขภาพด้วย แต่ก็ไม่ตรงกับที่ผมต้องการเท่าไร ผมต้องการแบบประกันสุขภาพเน้นๆ แบบทั้งผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก ก็มาเจอกับประกันสุขภาพของบริษัทบูพา ก็ตัดสินใจใช้บริการของบูพา มาโดยตลอด แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน บูพาไม่ได้แจ้งเรื่องการต่อประกันมา ทำให้ประกันขาดไป ก็เลยต้องเริ่มใหม่อีกครั้ง แต่ประกันสุขภาพแบบที่ผมทำมันเป็นแบบ ซื่อทิ้งไม่มีสะสมเหมือนกับประกันรถยนต์นั้นแหละครับ ขาดไปเร่ิมใหม่ก็เสียสิทธิอะไรบางอย่างเท่านั้น วงเงินว่ากันไปปีต่อปี
     นอกจากบูพาแล้วผมก็ยังมีประกันชีวิตของ AIA ไว้อีกเล่มหนึ่งซึ่งสำหรับผมแล้ว การประกันระดับนี้เพียงพอแล้ว พออุ่นใจว่าถึงเราจะเจ็บป่วยเป็นอะไร คงไม่ไปเดือดร้อนคนอื่นแน่ๆ ก็ใช้ชีวิตแบบปกติชิวๆ ไม่เจ็บไม่ไข้อะไรมา แต่พอเริ่มเข้าวัยสี่สิบห้า หลายๆอย่างมันก็เริ่มมาเยือนตามนัด เช่นปวดโน้นนี่ แบบไม่มีสาเหตุ แรกๆก็คิดว่า เอะเป็นเพราะหลังๆนี่เรากินเหล้าน้อยไปหรือเปล่า แต่ก่อนกินมันทุกวัน ร่างกายแข็งแรง ออกกองถ่ายทำงานหนักกลางแดด กลับมากินเหล้าจนดึก สมองนี่แล่นฉิว คิดอะไรก็เร็ว พอหลังๆกินเหล้าน้อยลง เดือนหนึ่งกินสองสามครั้งแล้วแต่จะมีใครมาชวน กลับเป็นเหมือนเฉื่อยชา เจ็บโน่นปวดนี่ แต่ก็ไม่เป็นอะไรเยอะ จนเมื่อประมาณสัก 2 ปี ที่แล้ว ผมเริ่มสังเกตุเห็นอาการผิดปกติของสายตา ผมเป็นคนสายตาสั้นมาแต่เด็ก เรียกได้ว่า เกิดมาดูโลกไม่กี่ปี ก็น่าจะสายตาสั้นแระ ใส่ตั้งแต่ประถมนะ ถ้าจำไม่ผิด ก็ใส่แว่นมาตลอด และสายตาก็มานิ่งอยู่ที่สั้น 650 ทั้งซ้ายขวา ทั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ เวลาเปลี่ยนแว่นก็วัดๆ สายตาไปงั้นๆ เพราะไม่เคยเปลี่ยน เปลี่ยนกรอบไปตามเวลาเท่านั้น แต่หลังๆมันไม่ใช่แล้วซิ มันแบบมองเริ่มไม่ชัด แต่เราก็ไม่ได้สังเกตุมา ข้างไหนที่มันไม่ชัด คนเราใช้สายตาทั้งสองข้างพร้อมๆกันนะครับ ง่ายๆคือ ถ้าข้างไหนไม่ชัด อีกข้างก็จะพยายามทำหน้าที่แทน ผมก็สังเกตุจากตอนขับรถ ถ้าเป็นตอนเปลี่ยนแสง เช่น ตอนเย็นเป็นกลางคืนนี่ ตาผมจะพร่า มองมัวๆ ขับรถอยู่ นี่ใช้ประสบการณ์ล้วนๆ เพราะมองไม่ค่อยเห็น ตั้งแต่รุ้ว่าเป็นอาการนี้ ผมก็หลีกเลี่ยงการขับรถตอนช่วงเวลาดังกล่าว แต่ก็คิดแค่ว่า คงเป็นอาการตามัวธรรมดาๆ หลังๆ มันก็เริ่มไม่ชัดขึ้นเรื่อยๆ ก็คิดว่า สายตาคงจะเปลี่ยนค่า ก็ไปวัดสายตาเปลี่ยนแว่นใหม่  ที่นี้ ข้างซ้ายกลายเป็นสั้น 450  ส่วนข้างขวาเป็นสั้น 800  คนที่วัดสายตาก็บอก พี่น่าจะไปหาหมอนะ สายตาพี่มันสั้นผิดกันเยอะ ผมก็เออๆ ว่าจะไปแล้วก็ขี้เกียจไปหาหมอ ก็เปลี่ยนแว่นมันไปเรื่อย ใช้คอนแทคบ้าง ซื้อมันมาลองไล่ไปหลายๆค่าสายตา จนคอนแทคและแว่นเต็มบ้าน ปัญหาก็ไม่หาย ก็เลยตัดสินใจไปหาหมอ  เราก็มีประกันนี่หว่า จะไปคิดมากทำไม ก็ไปที่ รพ รัตนิน เพราะใกล้บ้านและอ่านเจอว่า เป็น รพตา ที่ดี ไปตรวจที่รัตนินเจอหมอคนแรก ก้ตรวจๆๆๆๆ  เอ คุณไม่เป็นอะไรนะ แต่มีอาการตาแห้ง เอายาหยอดตาแบบพวกน้ำตาเทียมไปแล้วกัน ก็ดีใจ เออ ตาเราไม่เป็นอะไรว่ะ สงสัยเราจะวิตกจริตไปเอง ก็หยอดตาไปเรื่อย แต่อาการตามัวๆ ก็เป็นมาตลอดไม่เคยหายไปไหน จนรำคาญมันว่า มันจะเป็นอะไรกันหนักกันหนาว่ะ  ไปตรวจมันอีกที เจอหมอคนเดิมอีก ก็ตรวจๆๆๆๆๆๆๆๆ อืม คุณเป็นกล้ามเนื้อประสาทตาล้านะ(จำชื่อที่หมอบอกไม่ได้หรอกว่ามันโรคอะไร) มันทำให้คุณมองอะไรไม่ชัด คุณคงใช้สายตาเยอะ เราก็ตอบไปว่า ใช่ครับหมอ ผมต้องมองภาพเยอะ มองผ่านวิวไฟเดอร์ มันเพ่งตลอด หมอก็ อ๋อ ว่าแล้ว  เป็นนักเลงพระเหรอ ต้องส่องพระบ่อยๆ ผมอึ้งไปชั่วขณะ  เอิ่ม หมอครับ ผมเป็นช่างภาพครับ ถ่ายพวกสารคดี ถ่ายทีวีอ่ะครับ ตอบหมอไปก็นั่งนึก หน้าตากูนี่ เหมือนนักเลงพระตรงไหนว่ะ 55555  ถามหมอต่อ แล้วจะรักษาทำยังไงดีครับ หมอตอบแบบไม่ต้องคิด อาการอย่างนี้ ทำได้อย่างเดียวคือ ทำใจ   เฮ้ยยยยยยย  ซวยแหละกู  ทำใจนี่น่ะ  อาชีพต้องใช้สายตาตลอดด้วย งานเข้าแระ  ถามหมอย้ำอีก แกก็ตอบเหมือนเดิม แล้วให้ยาหยอดตามาหยอดปลอบใจอีกกล่อง  ออกจาก รพ มาก็เริ่มปลง แล้วบอกคนรอบข้างว่า ตอนนี้เป็นอย่างนี้แระ มองไม่ค่อยจะเห็น ก็ประคองตัวไป  ไงอาชีพช่างภาพมันก็ต้องทำ ตาข้างขวามองไม่ชัด ยังเเหลือข้างซ้ายนี่หว่า ก็เริ่มหัดใช้ตาซ้ายมองวิวไฟเดอร์แทน เออ มันก็ใช้ได้นี่หว่า หัดสักพักก็ชินกับใช้ข้างซ้าย ยังเหลือแต่การตัดต่อเท่านั้น ที่ยังต้องใช้ทั้งสองตา ก็ใช้วิธีตัดไปพักไป  แต่อาการตามัวมันก็ตามมาหลอนหนักขึ้นๆ จนตัดสินใจไปตรวจที่ รัตนินอีกที คราวนี้ได้เปลี่ยนหมอ  หมอส่องตาปุ๊บ หันมาบอกผมทันที คุณเป็นต้อกระจกครับ ถ้าจะผ่าก็นัดวันมาเลย ผมเดินออจากห้องตรวจแบบ งงๆ ตกลงกูเป็นต้อกระจกเหรอนี่  โห ดีใจมากมายยยยยยย   กูเป็นต้อกระจกแล้ว 555555 อย่าคิดว่าผมบ้านะครับ เป็นต้อกระจกแล้วดีใจ ทำไมจะไม่ดีใจล่ะครับ เทียบกับไอ้โรคกล้ามเนื้อตาอะไรนั้น ที่ต้องทำใจอย่างเดียว กับต้อกระจกที่แค่ผ่าออกใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไป ก็หายแล้ว ไม่แค่หายจากต้อกระจกเท่านั้น สายตาสั้นที่ติดตัวมาแต่เด็กก็จะหายด้วย  มันน่าดีใจไหมล่ะครับ
    เขียนยาวเพราะจะบันทึกเอาไว้ เผื่อใครเจอแบบคล้ายๆผมจะได้หาทางออกได้ แต่มันยาวมากแล้ว ตอนนี้จบแค่ ว่าค้นพบว่าตัวเองเป็นต้อกระจกก่อน เดี่ยวประชุมกับช่อง 5เสร็จ จะมาเขียนต่ออีกตอนนะครับ  จะเป็นเรื่องการรักษาและการต่อสู้กับบริษัทประกัน โชคดีทุกท่านครับ

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

กว่าจะเป็นสารคดี

เรื่องนี้ เขียนครั้งแรก เมื่อ 7 พ.ย 2013 

     เริ่มวันด้วยการ ส่งเมล์ link youtube งานรายการทีวีที่ทำไปให้ลูกค้าและสถานีตรวจ up load ด้วยความละเอียด SD ตั้งแต่เมื่อคืน การทำงานด้วยวิธีนี้สะดวกรวดเร็วขึ้นมากด้วยการใช้ internet จะตรวจแก้งานอะไรกัน ก็สามารถดูทาง internet ได้ ถ้ามีงบประมาณมาก จะวาง NAS ที่บ้านเลยก็สะดวก ไม่ต้องup load แจ้ง url ให้ลูกค้าเข้ามาดู ที่ NAS ของเราได้เลย ระบบ NAS ก็คือเราตั้ง storage server เราเองที่บ้าน ต่อเชื่อม เข้ากับระบบ internet ไปเลยเพราะเดี่ยวนี้ internet ก็เชื่อมต่อตลอดเวลาอยู่แล้ว สำหรับคนที่ต้องup load งานขนาดใหญ่มากๆ ระบบนี้ก็น่าสนใจ
     
   จากตรงนี้ จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันเราสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ ที่มีinternet ห้องตัดต่อเดี่ยวนี้ สามารถทำได้ในราคาที่ถูกลงมากกว่าแต่ก่อน สมัยก่อน ห้องตัดระบบ betacam ต้องใช้เงินอย่างน้อยประมาณ 3-5 ล้านบาทกับเดี่ยวนี้ computer ราคา หมื่นสองหมื่น ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน อยู่ที่ความรู้ความชำนาญ แต่แน่นอนถ้าคุณทำเป็นอาชีพประจำก็อาจต้องลงทุนเพิ่มเติมเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการทำงาน แต่ก็ยังอยู่ในงบประมาณแค่หลักแสนเท่านั้น ไม่ต้องใช้เงินล้านเหมือนก่อน
   
   เขียนอย่างนี้ เลยนั่งนึกว่า เมื่อสองสามวันก่อน โทรศัพท์คุยกับเพื่อนที่อยู่วงการทัวร์ ก็บ่นๆกันว่า ช่วงนี้เหนื่อยๆ เงินหายากขึ้น แต่ค่าใช้จ่าย fix cuase ก็ยังคงสูงเช่นเดิม ก็เลยบอกไปว่า สำหรับเรานั้น ได้เปลี่ยนระบบตรงนี้มาเป็นปีแล้ว เราใช้ระบบ virtual office แล้ว เรียกง่ายๆคือไม่ต้องมี office สำหรับนั่งทำงาน งานที่สามารถทำจากบ้านได้ ก็ทำงานที่บ้านเลย เหมือนอย่างงานตัดต่อที่เราทำ งานตัดต่อรายการทีวี จัดว่าเป็นการตัดต่อแบบ format หรือมีรูปแบบที่ creat มาแล้ว เช่น จะเล่าเรื่องอย่างไร พิธีกรมาแบบเอาจริงเอาจังหรือตลกเฮฮา สีและแสงของภาพ
     
   เหล่านี้ ทีมครีเอทีฟ ได้ประชุมและตัดสิมใจมาแล้ว เมือได้ผลิตออกมาเป็นรายการก็ประชุมแก้ไข กันจนเป็นที่พอใจ ดังนั้นงานที่ทำก็เป็นการทำตามรูปแบบที่วางไว้ จนกว่าจะมีการวางรูปแบบใหม่ เพราะอย่างนั้น การตัดรายการทีวีประเภทนี้ ลูกค้าเลยไม่มีความจำเป็นจะต้องเข้ามานั่งตัดต่อด้วย สามารถปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ producer และ editor ได้เลย ถ้าอย่างเรา producer และ editor เป็นคนเดียวก็ไม่ต้องไปปรึกษาใคร 555555 กำกับเอง ถ่ายเอง อีกต่างหาก ก็เลยนั่งทำจนเรียบร้อยแล้วค่อย up load งานไปให้ตรวจกัน ว่ามีความผิดพลาดหรืออยากเพิ่มอะไรหรือไม่ ถ้าตรวจแล้วพอใจ ก็เมล์ตอบมา เราก็จัดการ export งานออกมาเป็นไฟล์ที่ทางสถานีต้องการเพื่อการออกอากาศได้เลย การส่งงานไปสถานีก็ใช้ระบบ logistic ที่มีนะแหละ ถ้าใกล้ๆ ก็ มอไชค์ ถ้าไกลก็ว่ากันไป จะ DHL หรือ EMS
     
    ส่วนระบบการเตรียมงานก่อนถ่ายทำ อย่างที่เรียกว่า preproduction นั้น ยิ่งสบายกว่าแต่ก่อน เรานั่งนึกถึงสมัยที่เราทำงานรายการ คุณขอมา ของพี่ต๋อย ไตรภพ ช่อง 3 ซึ่งเป็นรายการสารคดีประเภท เรื่องแปลก ของแปลก แบบ ม้า3ขา ลา4 หัว แบบเดียวกันกับ รายการ ตามไปดูนะแหละ เราทำงานอยู่ในส่วน prepro ซึ่งมีหน้าที่ หาเรื่องมาถ่ายรายการและจัดเตรียมงานล่วงหน้ารอกองถ่ายเดินทางมาถ่ายทำ ซึ่งสมัยนั้นการทำงานยุ่งยากมาก ลองนึกดูเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ไม่มีโทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์สาธารณะยังหายากเลย ในป่าในทุ่งไม่ต้องไปหาเลย เราต้องหาเรื่องจากจดหมายที่ส่วนหนึ่งผู้ชมรายการเขียนแนะนำเข้ามา และหาอ่านสืบเสาะเอาเองส่วนหนึ่ง เมื่อมีจดหมายแนะนำเข้ามา เราอ่านแล้วสนใจ ก็ต้องพยายามคิดต่อกลับไป ซึ่งส่วนมากคนที่เขียน จม แนะนำมา ก็มีแต่ที่อยู่บ้านเท่านั้นเหมือนกัน ถ้ามีเวลาพอ ก็จะเขียน จม ตอบกลับไป นั่งนึกดู เขียนตอบกันไปมา 55555 เหมือน จม รักเลย
   
   แต่ส่วนมาก มันไม่ทันการหรอก รายการคุณขอมาที่เราทำนั้น ใน 1 ชม มี 5 ช่วงหรือ 5 เรื่อง ออกอากาศทุกอาทิคย์ เราต้องหาเรื่องป้อนฝ่ายผลิตรายการให้ทัน ส่วนมากเราก็จะคว้า จม เหล่านั้น เลือกที่นั้น อยู่ใกล้ๆกัน สัก 4-5 ฉบับ แล้วไปค้นคว้าหาข็อมูลว่าแถวนั้นมีอะไรน่าสนใจอีก แล้วก็ออกเดินทางไปตามหาเรื่องเลย 55555 อ่านแล้วน่าสนุกใช่ไหม เด็กหนุ่มผู้มีความฝันออกเดินทางผจญภัยในโลกกว้าง 555 สนุกนะ ตอนนั้นจำได้ เดินทางตลอด
    
    แต่ความจริงของการทำงาน มันไม่สวยหรูยังงั้นสิ คุณต้องหาเรื่องมาถ่ายทำให้ได้ภายในเวลาที่กำหนด ไม่ใช่ไปเที่ยวเรื่อยเปื่อย เราต้องเดินทางเข้าไปในที่ๆ ทุรกันดาร ไม่ว่าจะเป็นป่า เป็นทุ่ง เป็นเกาะ เพราะไอ้เรื่องแปลกๆ นี่ ส่วนมากมันไม่ค่อยจะยอมมาอยู่ในเมืองเลย ไม่รู้เป็นอะไร 555 เราต้องนั่งรถทัวร์หรือรถไฟ ไป จังหวัดที่เราต้องการ เมื่อถึง จังหวัดแล้วก็ต้องหา รถต่อเข้าไปที่ อำเภอหรือ ตำบลหรือหมู่บ้านตามเป้าหมาย ไอ้ตรงนี้แหละ ชีวิตมันเริ่มฮาไม่ออกแหละ นั่งสองแถวไปถึง ต้องต่อด้วยมอไซค์บ้าง เรือบ้าง เดินบ้าง แล้วแผนที่ก็ไม่มี กูเกิลยังไม่เกิด GPS ยังไม่มา ใช้ปากถามทางเค้าไปเรื่อยๆ ว่าบ้านนี้อยู่ตรงไหน แล้วคุณคิดดู เด็กหนุ่มหน้าตาดี แต่ตัวเปื้อนฝุ่นมอมไปทั้งตัว หอบกระเป๋าพะรังพะรัง มาเดินถามชาวบ้านไปทั่ว คนมันจะคิดยังไง มันมาตามหาอะไรของมันนี่ มันเป้นใคร 5555 ยังๆๆ ยังไม่จบ หาเจอแล้วก็ต้องไปสำรวจว่า เรื่องราวมันจริงไหม และน่าสนใจพอที่จะทำรายการไหม ถ้าใช่ ก็โชคดีไป ถ้าไม่ใช่ ประมาณ ว่าตอนเขียนไปหา ม้ามันมี 3 หัว แต่ตอนนี้ มันหดหายไป เหลือหัวเดียว ก็ฮาไม่ออก เดินทางมาฟรี แล้วตอนเดินทางกลับออกมานี่แหละ สาหัสบันเทิง โชคดี ชาวบ้านมีรถก็อาจมาส่งขึ้นรถต่อได้ ถ้าไม่มีการผจญภัยของเด็กหนุ่มก็เริ่มอีกครั้ง 555 ผมจำได้แม่นเลย ครั้งหนึ่งไป prepro ใกล้ๆ นี่แหละ แถว บางไทร บ้านแพน อยุธยา ไม่ไกล แต่ต้องใช้การเดินทางครบทุกอย่าง ขากลับ ชาวบ้านพายเรือออกมาส่ง ผมก็จะเดินไปขึ้นสองแถวกลับ ปรากฎว่า สองแถวหมดไปแล้ว เอาไงดี ชาวบ้านแนะนำว่า มีคิวรถอยู่อีกแห่ง ผมเลยตัดสินใจเดินไป เพราะไม่มีรถอะไรไปส่งเลย เดินปลงชีวิตไปเรื่อยๆ ตอนนั้น สองสามทุ่มแล้ว ก็เดินมันตามทางลูกรังมืดๆ นะแหละ ก็มีเสียง ก็อกแกก ๆๆๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในใจนึก มันอะไรว่ะ จักรยานครับ มีชาวบ้านปั่นจักรยานผ่านมา เค้าถามผมจะไปไหนเหรอ ผมตอบเค้าไป เค้าบอกเดินไม่ไหวหรอก มาซ้อนจักรยานไปดีกว่า ผมก็ไม่รอช้าสิ กระโดดซ้อนจักรยานพี่เค้าทันที จักรยานน้อยๆของเราเดินทางฝ่าความมืดไปเรื่อยๆ เราก็คุยกันไป ว่าผมมาทำอะไร ประมาณนั้น แล้วเค้าก็มาส่งผมตรงที่หนึ่ง แล้วชี้ให้ผมเดินต่อไป บอกว่าอีกสัก 15 นาทีก็ถึง ผมรีบขอบใจแล้วก็เดินไปถามทางที่พี่เค้าบอก ด้วยความรีบและเหนื่อย ผมเดินแทบจะวิ่ง แล้วประมาณสิบกว่านาที ผมก็มาถึงตลาดแห่งหนึ่ง ริมถนนใหญ่ เมื่อเวลาจะเที่ยงคืนไปแระ ถามคนแถวนั้น บอกรอรถแถวนี้แหละ มีวิ่งผ่านแต่อาจนานหน่อย ระหว่างที่รอรถ ผมก็เลยนั่งนึกอะไรไปเรื่อยๆ อืม ผมไม่ได้ถามพี่จักรยานเลยว่า พี่เค้าจะไปไหน และมาจากไหน อยู่ๆ พี่เค้าก็โผล่มา มาส่งผมตรงที่มืดๆ แล้วก็หายไปเลย 5555 พอนึกแค่นั้นแหละ ขนลุกเลยครับ เพื่อนๆ
    
    มาว่ากันต่อเรื่องการทำ prepro เมื่อ 20 ปีก่อน เมื่อหาเรืองถ่ายได้แล้ว ผมจะต้องรีบเดินทางมาในเมืองหรือสถานที่ที่มีโทรศัพท์เพื่อโทรบอก producer ที่รอข่าวอยู่ที่บริษัท ต้องนัดกันไว้นะครับ เพราะแต่ก่อนไม่มีมือถือ ไม่มีเพจ เราต้องนัดกันไว้ว่า ประมาณสองทุ่ม ของทุกวันผมจะโทรมาส่งข่าวและรับข่าว การหาเรื่องเพื่อถ่ายทำ หาเรื่องเดียวไม่ได้นะครับ เพราะไม่คุ้มค่าใช้จ่ายในการออกกองถ่าย รายการที่ผมทำตอนนั้น ต้องหาให้ถ่ายให้ได้วันละ 2 เรื่องเป็นอย่างน้อย และถ้าไปต่างจังหวัดไกลๆ ก็ต้องมีวันถ่าย2 วันเป็นอย่างน้อย ไม่งั้นไม่คุ้มค่าน้ำมัน ค่าเดินทาง ผมก็เลยต้องเร่ร่อนเป็นนกขมิ้นไปทั่วประเทศไทย ประมาณ 2 ปี หาเรื่องถ่ายทำได้แล้ว บางทีก็ไม่กลับมา กทม รอกองถ่ายอยู่ที่นั้นเลย ถ่ายเสร็จกองถ่ายเดินทางกลับ บางทีผมก็เดินทางหาเรื่องถ่ายต่อไป 5555 นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมได้เดินทางไปทั่วประเทศ
    
    มาถึงสมัยนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไป ทีม prepro หาข้อมูลใน google แล้วก็โทรมือถือหรือเมล์ไปแจ้งความต้องการ ทุกอย่างสามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องขยับตัวจากหน้าคอม นี่ก็เป็นวิธีการทำงาน แบบ virtual office ของผมเหมือนกัน ทีม creative ของผม ทีม prepro ของผมทำงานหน้าคอมที่บ้านของตัวเอง เรานัดกันว่าจะประชุมผ่าน skype หรือ network สักอย่าง ที่เวลาหนึ่งที่ทุกคนสะดวก ส่วนมากผมจะเลือกประมาณ เที่ยง เพราะทุกคนน่าจะตื่นหมดแระ เราก็คุยกันว่า งานคืบหน้าอย่างไร มีอะไรเพิ่มเติม ทีมเราทำงานร่วมกัน บน google app แบบเสียเงิน ไฟล์งานทุกอย่างเก็บไว้ที่นั้น ทุกคนสามารถดึงเอามาแก้ไขหรือทำต่อได้ทันที ตามสิทธิของแต่ละคน จากการที่ได้ลองทำงานร่วมกันแบบนี้ ผมว่า มันได้งานมากขึ้นกว่าเดิมนะ นายจ้างจ่ายเงินเท่าเดิม ลูกจ้างได้เงินเพิ่มจากการที่ไม่ต้องเสียค่าเดินทาง เสียค่าเวลาเดินทาง ทำงานได้เยอะขึ้นใน ชม ทำงานเท่าเดิม นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าออฟฟิส ค่าน้ำค่าไฟ ค่ากาแฟ แต่อาจจ่ายเป็นค่าโทรศัพท์หรืออินเตอเนตแทน แต่ที่แน่ๆ ค่าใช้จ่ายลดลงเยอะมาก

   เมื่อได้งานเตรียมถ่ายแล้ว เมื่อถึงเวลาต้องถ่ายทำ เราก็สามารถลดค่าใช้จ่าย โดยการลดจำนวนคนออกกองได้อีก โดยการใช้ trafic ประสานงาน ร่วมกัน ปกติแล้วในกองถ่ายจะมีคนหนึ่งทำหน้าที่ประสานงาน คอยติดต่อ โทรศัพท์สารพัด ตรงนี้ ผมจัดการโดยการทำงานจากที่บ้านและใช้เป็นส่วนกลางได้ กล่าวคือ ถ้าเป็นแต่ก่อน วันนั้นมีกองถ่าย สองหรือสามกอง เราก็ต้องมีประสานงาน สองหรือสามคน แต่ผมเปลี่ยนมาใช้คนเดียวแบบทำที่บ้านและเป็นส่วนกลางเลย ทีมกองถ่ายที่ต้องออกกองทุกคน อาจจะเป็น producer หรือ creative จะต้องมี smart phone ที่เปิดอินเตอเนตตลอดเวลา เราก็ใช้ระบบ google location เพื่อให้รู้ว่าตอนนี้กองถ่ายกองนั้น อยู่ตรงไหน ส่วนกลางสามารถประสานงานกับหน้างานได้เลยว่า ตอนนี้กำลังเดินทาง อีกกี่นาที กี่ ชม ถึง และติดต่อกลับไปยังกองถ่ายว่า หน้างานมีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่ประสานงานส่วนกลางก็ทำกับข้าวให้สามี หรือเล่นกับหมาไปพร้อมกันได้ 55555 ก็มันใช้แค่ คอมกับมือถือ เท่านั้น ยิ่งถ้าคุณมี notebook หรือ tablet คุณอยู่ตรงไหนก็ได้ ผมทำอย่างนั้นจริงๆมาแล้ว

    จากตรงนี้จะเห็นได้ว่า เราสามารถลด จำนวนคนลงได้อีกหนึ่งหน้าที่ ประสานงานที่เก่งๆ สามารถรับมือกองถ่าย 4 กอง พร้อมกัน ใน 1 วันสบายๆ คุณลองนึกดู งบประมาณที่ต้องลดลงไปสิ ไม่ใช่แค่เงินเดือนหรือค่าจ้างนะ กองถ่ายทุกกองมีค่าใช้จ่ายต่อจำนวนคน ไม่ว่า ค่ารถ ค่ากินอยู่ เมื่อกองถ่ายคนน้อยลง ก็ใช้เงินน้อยลง ความคล่องตัวมากขึ้น ทำงานได้เร็วขึ้น นอกจากนั้น เมื่อกองถ่ายไปถึง มีปัญหาที่ต้องให้ส่วนกลางตัดสินใจ เราสามารถให้ทางกองถ่าย ใช้มือถือหรือ tablet อัพวิดีโอ เรียลไทม์ ให้ดูเพื่อตัดสินใจได้ตรงนั้นเลยว่าจะเอายังไง อย่างเช่น โลเกชั่น ไม่ดี ไม่สวยอย่างที่เห็นในรูป เราก็ให้ กองถ่ายอัพรูปหรือ วิดิโอมาดูเลย จะย้ายจะเปลี่ยนก็ว่ากันเลย ส่วนกลางสามารถควบคุมดูแลและช่วยงานกันได้ เหมือนเดินทางไปด้วยกัน เราสามารถได้งานเหมือนเดิมโดยการเปลี่ยนวิธีการทำงานเท่านนั้น

   ผมได้ทดลองระบบนี้มาสองปีแระ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คนทำงานต้องมีคุณภาพ ซึ่งก็เหมาะกับงานบางอย่างเท่านั้น ไม่ได้แปลว่างานทุกอย่างจะทำแบบนี้ได้นะ จ่างแพงเลือกคนเก่งจะดีกว่า เราได้งานมากกว่า ผมคิดว่า เหตุที่ผมทดลองและสนใจวิธีนี้เพราะว่า ได้แพลนไว้ว่า อีกสักสามปีห้าปี ผมจะย้ายไปอยู่ที่ดอยวาวี ซึ่งผมปลูกกาแฟเอาไว้ และก็จะไปๆมาๆ กับที่โคราช บ้านเกิดของผม ส่วน กทม ก็คงเป็นที่รับงานส่วนโปรดักชั่นเหมือนเดิมเท่านั้น ผมคงใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่ ดอยวาวี กับ เพื่อนฝูงและครอบครัว ที่โคราช เพราะสำหรับ กทม ผมอื่มตัวกับมันแล้ว แต่แน่นอน ผมยังต้องทำงาน ก็เลยหาวิธีที่จะจัดการ ที่โคราช ไม่มีปัญหาอะไร อินเตอเนตเร็วกว่า กทม ซะอีก แต่ที่ดอยวาวี อินเตอเนตยังไปไม่ถึง ก็กำลังหา โซลูชั่นจัดการอยู่ แต่ผมเชื่อว่า อีกไม่นาน ก็คงมี

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การล่าสัตว์ จริยธรรมกับเกมกีฬา

ภาพถ่ายที่แอฟริกาครับ ทั้งซิบบับเว่ แซมเบีย  ส่วนสิงโตถ่ายที่เคนย่าครับ คำบรรยายตามภาพเลยครับ

    กำลังร้อนแรงในโลกโซเซี่ยลสุดๆ กับเรื่องของเจ้าเซซิล สิงโตเซเลบที่โดนหมอฟันอเมริกันฆ่าตาย แล้ววันนี้ยังเป็นวันพระใหญ่สำหรับชาวพุทธครับ วันอาสาฬหบูชา สำหรับชาวพุทธส่วนมากก็ไปทำบุญเวียนเทียนกันตามประเพณีนิยม และตามปกติแล้ววันนี้โรงฆ่าสัตว์ก็หยุดมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ปัจจุบันหยุดหรือเปล่าก็ไม่ทราบแน่ชัดเหมือนกัน เพราะอายุเริ่มเยอะ ไม่ค่อยได้กินเนื้อสัตว์ใหญ่มานานแล้ว ไม่ได้เคร่งถือศีลอะไรหรอกครับ กินไม่ไหวเอง5555 แต่ก็ไม่ได้เลิกกินอะไรเฉพาะนะครับ กินเนื้อได้ทุกอย่าง แต่บังเอิญดาวเรืองเลิกกินเนื้อวัว ตามมาด้วยเนื้อหมู ผมก็เลยกินน้อยลงไปด้วยเพราะส่วนมากจะทำกับข้าวกินเองที่บ้าน ถือว่าได้บุญได้กุศลไปโดยปริยาย ส่วนพวกเนื้อสัตว์แปลกๆ ที่ไม่ได้เลี้ยงเป็นปศุสัตว์หรือสัตว์ป่านี่ เลิกกินเด็ดขาดมานานแล้วครับ  ไม่สนับสนุนด้วย จำได้ว่าสมัยเป็นผู้จัดการบ้านจัดสรร ตอนทำโครงการสร้างบ้านนั้น พื้นที่เดิมเป็นทุ่งหญ้าโล่งๆสลับกับหนองน้ำ ก็มีพวกนกแปลกๆมาอาศัยทำรังกัน  คนงานก่อสร้างก็มักจะมาดักเอานกเหล่านี้ไปเป็นกับข้าวเสมอ เดินถือนกกลับแคมป์คนงานผ่านออฟฟิสผมทุกเย็น ผมก็จะแวะออกมาดูเพื่อขอซื้อนกเหล่านั้น โดยตีราคาให้เท่ากับเนื้อหมูหรือเนื้อสัตว์ที่เค้าต้องการ ก็เป็นเงินไม่มากหรอกครับ แต่บางครั้งนกเหล่านั้นก็บาดเจ็บมากแล้ว เอาไปปล่อยก็คงไม่รอด ก็ต้องให้เค้าเอาไปกินกัน ถามว่าทำไมผมไม่ห้ามพวกคนงาน ตอบได้เลยครับว่า ไปห้ามไม่ได้หรอกครับ  พวกคนงานเค้าก็ต้องการอาหาร รายได้เค้าไม่ได้มากมายอะไร และวิถีชีวิตเค้าก็ดักนกดักหนู เอามาทำกับข้าวเป็นอาหารมาแต่ไหนแต่ไร เค้าไม่ได้เติบโตมาพร้อมกับซุปเปอร์มาเก็ต หรือ 7-11 หน้าปากซอยบ้านที่หิวเมื่อไรก็แวะมา หรือถึงมันจะมีตั้งอยู่ กำลังซื้อเค้าก็ไม่พอที่จะจ่ายอะไรขนาดนั้น เมื่อเห็นอาหารใกล้ๆรอบตัวก็เป็นธรรมดาที่จะจับมากิน  ซื้อบ่อยครั้งมากเค้า พวกคนงานก็ถามว่า ผมซื้อไปทำไม เลี้ยงก็ไม่ได้เลี้ยง กินก็ไม่กิน เอาไปปล่อยหมด ก็ไม่กล้าตอบพวกเค้าแบบโลกสวยอะไรหรอกครับว่า เป็นนักอนุรักษ์ นกกำลังจะหมดโลกอะไร กลัวเค้าไม่เข้าใจจะพาลไม่ขายให้เอา ก็ตอบไปง่ายๆว่า เห็นมันสวยดี เวลาทำงานเหนื่อยๆ ออกมานั่งพักเห็นมันบินไปมา ชอบแต่ขี้เกียจเลี้ยง ไม่อยากรับผิดชอบหาอาหารให้มัน  ตอบไปอย่างนี้ เออ เข้าใจง่ายแฮะ พวกคนงานเลยบอกว่า งั้นคราวหลังพวกผมจะทำกับดักแบบไม่ให้พวกนกมันบาดเจ็บมาก เวลาปล่อยมันจะได้ไม่ตาย  อ้าวงั้นก็แจ๋วเลยดิ กิจการซื้อนกปล่อยป่าของผมก็เจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด นกที่ถูกจับได้ไม่บาดเจ็บมากนัก เวลาเดินมาไม่เจอผม พวกเค้าก็จะรอหรือไม่ก็กลับมาอีกครั้ง ไม่มีพวกนกที่ต้องตายอีก ส่วนผมก็ทำเรื่องนี้เสนอเจ้านายไป ว่าของบประมาณมาซื้อนกด้วย ไม่มากมายอะไร โดยให้เหตุผลว่า ต่อไปนกพวกนี้มันคงมาอาศัยอยู่ในสวนสาธารณะของหมู่บ้านที่เราสร้างมาทดแทนหนองน้ำที่อยู่เดิมของมัน เจ้านายโดนผมกล่อมทุกวันก็เริ่มเคลิ้มตาม อนุมัติงบมาให้ผมจัดการ

     หลายท่านอาจคิดแย้งว่า ยิ่งผมไปรับซื้อนกเหล่านั้น มันก็ยิ่งไปสนับสนุนการล่านกนะแหละ ห้ามไปเลยดีกว่า เรื่องนี้มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะครับ เราต้องไม่ลืมว่า คนเรานั้นมาจากที่มาต่างกัน วัฒนธรรมความเชื่อที่แตกต่าง ความลำบากในการใช้ชีวิต มีชีวิตที่แตกต่างกัน ย่อมคิดไม่เหมือนกัน เรียกง่ายๆว่า โลกใบเดียวกันแต่มองคนละมุม เมือมองคนละมุมมันก็กลายเป็นคนละเรื่องกันเลยแหละครับ คนที่มาจากสังคมที่ต้องพึ่งพาตัวเอง อยากกินเนื้อสัตว์ก็ต้องหาเอาเอง ล่าเอง ฆ่าเองนั้น เค้าก็จะเคยชินกับสิ่งเหล่านั้น ส่วนคนเมืองที่สังคมเปลี่ยนไปเป็นสังคมแบบพึ่งพาซับซ้อน ย่อมไม่คุ้นเคยกับการล่า การฆ่า เป็นธรรมดา เมื่อเห็นเมื่อรับรู้เรื่องเหล่านี้ ความอ่อนไบหวกับเรื่องเหล่านี้ก็มากเป็นธรรมดา คนเมืองอยากกินเนื้ออะไรก็แค่ไปที่ซุปเปอร์มาเก็ตใหญ่ๆ มีชิ้นเนื้อสัตว์ตัดตบแต่งเรียบร้อยให้เลือก เนื้อจระเข้ นกกระจอกเทศ เนื้อกวาง ยังมีขายเลยครับ แต่แถวไร่กาแฟผมที่บนดอยวาวี เชียงรายนี่ ร้านขายของที่ใกล้สุดในตัวตำบลต้องขับรถขึ้นเขาลงห้วย ไปสามสิบแปดดอย 55555 ระยะทางประมาณ 10 กม ทางลูกรังขับมอไซค์เร็วสุด ต้องมีครึ่งชม ถ้าหน้าฝน ฝนตกหนักๆอาจต้องใช้เวลา 3วัน กว่าจะถึงร้านขายของในตำบล จะซื้อของมาตุนมาแช่ในตู้เย็นก็ไม่สะดวกนักเพราะแถวนั้น ไฟฟ้าหลักยังไม่เข้า ต้องใช้ไฟฟ้าพลังน้ำ พลังแสงอาทิตย์กันอยู่  เพราะอย่างนี้คนแถวไร่ผม ถ้าอยากกินเนื้อก็ต้องยิงนกยิงหนูกันไปตามเรื่อง ถ้าอยากจะกินหมูกินวัวกันจริงๆ ก็ต้องงานใหญ่ๆ เท่านั้น ล้มวัวล้มหมูกันที ก็ต้องแจ้งข่าวกันล่วงหน้า ว่าบ้านไหนจะเอาเนื้ออะไร เอากี่โล ซื้อขายกันล่วงหน้าเหมือนทองคำเลยครับ 55555 ไม่มีคนเอาเนื้อจนคุ้มก็ฆ่าไม่ได้ คนแถวนั้น ก็กินแต่ผักกันตัวเขียวไปหมด ทุกมื้อก็ผักสด ผักต้มไปตามเรื่อง

      นี่แหละครับ ชีวิตจริงของสังคมโลกเรา ฆ่าเป็นอาหารนี่ผมว่าไม่ผิดหรอกครับ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อะไรแต่ต้องดูว่าสังคมไหนด้วยนะครับอย่าไปฝืนกระแสเค้า สัตว์ไหนสังคมไหนเค้าไม่กิน ก็อย่าไปกินมันเลย ส่วนถ้าสังคมไหนเค้ากินกัน คนส่วนมากเค้ากินกัน คนสังคมอื่นก็อย่าไปยุ่งกับเค้าเลย เราก็ต้องถืออุเบกขาปล่อยวางเหมือนกัน แต่ถ้าล่าเอาขนเอาหนังเอาเขาเอางา เอาส่วนประกอบย่อยๆแต่ต้องฆ่าทั้งตัวนี่ต้องด่าต้องประนามอย่างหนัก พวกล่าสัตว์ฆ่าสัตว์เป็นเกมกีฬานี่ อันนี้ผมก็ไม่เห็นด้วยครับ ยกเว้นกรณีการฆ่าเพื่อควบคุมประชากรตามหลักสมดุล แต่ก็ตรงจุดนี้แหละครับ ที่การฆ่าเพื่อสมดุลประชากรสัตว์ถูกนำมาใช้เป็นเหตุผลของการฆ่าเพื่อเกมกีฬา ในแอฟริกามีหลายประเทศที่อนุญาติให้ล่าสัตว์บางชนิดได้ เลยเกิดเป็นช่องโหว่จนเกิดกรณีแบบ เซซิล สิงโตเซเลป อย่างนี้ก็ต้องด่าแบบไม่ต้องคิดแหละครับ ว่าเป็นเรื่องปมด้อยผู้พิชิตของผู้นิยมการล่าจริงๆ  สุดท้ายครับ  ความรู้คู่เดินทาง สนุกสนานทั้งชีวิต  โชคดีครับ
















วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ขับรถเมืองไทย น้ำใจกับกฎจราจร

ติดภารกิจตัดรายการสารคดีประจำไม่เสร็จเพราะทางช่องจะเร่งเอาก่อนเข้าพรรษาก็เลยไม่ได้มาเขียนประจำวันตามที่ตั้งใจ 5555 ก็พยายามแล้วนะ คิดเอาเองอย่างนั้น
      ที่ตั้งหัวข้ออย่างนี้เพราะอ่านเรื่องราวในเฟสบุค ในอินเตอเนตนี่แหละครับ เดี่ยวนี้บ้านเราโลกเรากลายเป็นโลกแห่งกล้อง โลกแห่งคลิป ทุกๆอย่างต้องแชร์ต้องบอกกล่าวให้โลกรู้ ทุกคนเป็นผู้รายงานข่าวได้ สมัยนี้ใครไม่มีกล้องถ่ายรูปนี่คงแปลกประหลาดแล้วล่ะครับ เพราะมือถือทุกรุ่นที่ใช้ๆกันก็น่าจะมีมือถือกันหมดแล้ว
    อ่านเฟสไปเจอเรื่องราวที่เพื่อนๆของผมแชร์กันมาอีกที เรื่องคลิปรถเก๋งขับปาดหน้ากันแหละกัน ค่อนข้างบ่อยกับเรื่องแนวนี้แต่ที่ผมสนใจคือ คอมเมนต์ต่างๆที่คนเข้ามาดูแล้วก็เขียนกันไป ตามที่ตนรู้สึก สรุปก็มีทั้งแนวว่า คนขับที่แซงไม่มีมรรยาทผิดกฎ และอีกแนวก็คือ คนแซงน่ะผิดอยู่แล้ว แต่คนที่ถูกปาดถูกแซง ก็ไร้น้ำใจและเกินไปหน่อย ก็ให้เหตุผลกันไป เรื่องใครผิดใครถูกผมไม่ขอสนใจน่ะครับ ดูกันเองพิจารณาอันเอง แต่เรื่องที่อยากจะพูดคือ เรืองการขับรถในเมืองไทย
    เรื่องขับรถบ้านเรานี่ ในรายการผมก็เสนอให้คุณประกรณ์ แกพูดในรายการบ่อยครั้งแล้ว ประเด็นมันอยู่ที่ว่า เคยสังเกตุเรื่องการขับรถของคนไทยเราไหมครับว่ามีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนชาติใดในโลกเลย ยกตัวอย่างมาให้เห็นลักษณะเด่นๆก็มีดังนี้ครับ
   1  ขับเร็ว ไม่ว่าถนนเล็กถนนใหญ่ ในเมือง นอกเมืองใส่กันไม่ยั้ง ในเมืองนี่ ลองถนนโล่งๆดิ ใส่กันเป็นร้อย  นอกเมืองขนาดถนนด่าๆกันว่าไม่ดี นี่เหยียบกันร้อยกว่าๆ ทุกคน เชื่อไหม ผมเคยขับจากกรุงเทพกลับโคราช ใช้ความเร็วประมาณ 90 กม รถทุกคันที่วิ่งไปทางเดียวกับผมแซงผมหมด แม้นกระทั่งมอไซค์คันเล็กๆ จะมีใครผมแซงได้บ้างก็รถอีแต๋น กับจักรยานเท่านั้น  ส่วนในกรุงเทพผมขับไม่เกิน 60 ทุกคนที่แซงผมไป ไม่หันมามองหน้าก็ทำปากขมุบขมิบกันทั้งนั้น 5555 สงสัยคงอวยพรให้ผม
   2  ใจร้อน  คนบ้านเรานี่แปลกนะครับ เดินธรรมดานี่ยิ้มแย้มแจ่มใส ใจเย็น อะไรนิดอะไรหน่อย หยวนๆยอมกันได้ แต่พอลองไปอยู่หลังพวงมาลัย ใส่เกียร์ขับรถเมื่อไรล่ะก้อ เปลี่ยนร่างทันที  ใจร้อนขึ้นมาเลยไม่ว่าหญิงชาย หนุ่มแก่ จะขับรถถุก รถแพง เป็นเหมือนกันหมด บางคนก็ไม่ใช่คนใจร้อนอะไร แต่พอขับรถออกอาการใจร้อน ขี้หงุดหงิดกันหมด เคยถามเคยนั่งคุย ก็บอกไ่ม่รู้เหมือนกัน บางคนก็บอกว่าอากาศร้อน รถติด โหนี่ขนาดอยู่ในรถเก๋ง แอร์เย็นๆน่ะนี่
   3  ห้ามใช้แตรเด็ดขาด ยกเว้นฉุกเฉินเป็นตาย รถยนต์ที่ใช้ในบ้านเราโดยเฉพาะกรุงเทพนี่ มีแตรได้แต่ห้ามกดเด็ดขาด อาจเป็นเรื่องเป็นราว ยิงกันตายฆ่ากันตาย แค่เรื่องแตรนี่แหละครับ ไม่เชื่อผมลองสังเกตุตัวเองดูสิ เวลาขับรถถ้ามีคนมากดแตรข้างหลังนี่ เราจะแบบออกอาการก่อนเลย ประมาณว่า บีบแตรทำไมว่ะ หาเรื่องเหรอ ทั้งๆที่ยังไม่รู้อะไร อาการจะออกแนนี้เกือบทุกคน 5555 ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เสียงแตรมันเหมือนเสียงด่าพ่อล่อแม่ตรงไหนหว่า มันก็เสียงแตรธรรมดาๆ

      อย่างที่ยกตัวอย่างมาให้ดูกันนี่แหละครับ ไม่เหมือนชาติไหนในโลกนะครับ ผมเองเวลาไปถ่ายสารคดีที่ไหนนี่ ก็ต้องมีโอกาสใช้รถใช้ถนนของบ้านเมืองเค้าอยู่แล้ว สังเกตุตลอดเวลาว่าเมืองไหน นิสัยจราจรเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างเอาใกล้บ้านเราก่อน พม่าเพื่อนบ้าน ถ้าย่างกุ้งตอนนี้ รถติดยิ่งกว่าบ้านเราเพราะรัฐยังไม่ควบคุมเรื่องการนำเข้ารถ โตโยต้าอัลพาร์ทปีใหม่ๆ บ้านเราหลายล้านที่นั้นใช้เป็นรถตู้รับจ้าง ผมใช้เป็นรถกองถ่าย นั่งสบายมากถามว่าราคาเท่าไร คนขับบอกประมาณสามแสนบาท ถ้าจำไม่ผิดน่ะ แต่ที่แน่ๆถูกมากๆเพราะรถราคาถูกพอเศรษฐกิจเริ่มดีมีกะตังค์กัน ก็แห่ซื้อรถกันมาก แต่ถนนยังไม่ค่อยจะมีเท่าไร รถติดกันแบบไม่ขยับ แต่บีบแตรไล่กันนี่ไม่โกรธนะ เคยไปนอกเมืองขึนเขาสูง ทางสองเลนวิ่งสวนกัน แซงกัน ปาดกัน ไม่ว่ากันเพราะขืนไม่แซง เจอรถบรรทุกช้าๆวิ่งขึ้นเขาไม่ไหว ก็ต้องแซงออกไปเลย แต่พม่าไม่ขับรถเร็วเท่าไร
   อินโดนีเซีย นี่อย่างแถวเกาะสุมาตราเมืองใหญ่ๆ อย่างเมดาน รถติดกระจายหนักว่าบ้านเรา บีบแตรไล่กันเป็นที่สนุกสนาน แต่ไม่มีใครอารมณ์เสียลงมาเอาเรื่องกัน  ไอ้เรานั่งลุ้นเห็นบีบแต่ไล่กันดังสนั่น นึกว่ามีเรื่องแน่ๆ แต่เปล่าเลย ต่างคนต่างเฉย แค่บีบแตร  ยิ่งออกไปนอกเมืองวิ่งบนเขานี่ อินโดสุดยอดมาก แนะนำว่าคนไทยหรือแม้นกระทั่งคนชาติไหนอย่าได้ไปขับรถที่อินโด  พี่แกทั้งปาด ทั้งแซง แบบกระชั้นชิด ผมนั่งหน้าตลอดเพราะต้องคอยเก็บภาพ นั่งลุ้นช่วยเบรคไปตลอดทาง วันหลังๆเริ่มชินกับสไตล์อินโด ลองสังเกตุดู เออ มันยอดกันแฮะ ถ้าอีกคันแซงสวนขึ้นมา แล้วอีกคันเห็นว่า มันไปได้ เค้ายอมกันนะ ก็หักหลบ กดเบรค หรือชลอ กันไป ไม่เอาชนะกัน ว่ากูถูก มึงผิด เส้นทึบ เส้นประ วิ่งบนเขาหลายวันไม่เห็นอุบัติเหตุเลย คนบ้านเค้าคงรู้จังหวะกันดีผมว่านะ
     เวียดนามนี่ก็สุดยอด อยู่บนถนนเวียดนามไม่ได้ยินเสียงแตรรถนี่ ต้องนึกว่ามาผิดประเทศ ถึงขนาดมีคนเล่าตลกว่า คนเวียดนามถ้ารถเบรคเสียนี่ เฉยๆไม่รู้สึกอะไร ขับใช้รถเป็นปกติธรรมดา แต่ถ้าแตรเสีย กดแล้วไม่ดังนี่เป็นเรื่อง ต้องเอาไปซ่อมให้ดีก่อนเอามาใช้ คนเวียดนามเค้าถือว่า การบีบแต่ขณะขับรถนี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องนะครับ เค้าบีบแตรเพื่อบอกตำแหน่งของเค้าว่า ฉันอยู่ตรงนี้นะ แล้วทุกคนก็มองไปข้างหน้า วิ่งตรงไปข้างหน้า จะรถจักรยานยันรถบรรทุก วิ่งเสมอภาคกันหมดสมเป็นเมืองคอมมิวนิสต์ เวลาจะเลี้ยว รถทุกคันมันจะไหลๆ หลบกันไปเอง ขนาดห้าแยกหกแยก ที่แออัดสุดๆของฮานอยนี่ ผมไปตั้งกล้องที่สูงแล้วถ่ายลงมา เห็นชัดเลยครับ ทุกอย่างมันเคลื่อนที่ไปของตัวเอง ดูไม่เป็นระเบียบ แต่ทุกคนก็ไปกันได้ คนเดินนี่เดินตัดกลางแยกเลย เดินไปเรื่อยๆเค้าห้ามหยุดนะครับ เดินด้วยความเร็วคงที่แบบสบายๆ รถทุกคันจะเลี้ยวจะอ้อมตัวคุณไปเอง เหมือนเดินแหวกทางน้ำยังไงยังงั้น ผมไปเวียดนามบ่อย แทบไม่เห็นอุบัติเหตุแรงๆเลย เค้าไปช้าๆ แต่ไม่ต้องหยุด ไหลๆกันไป ดูคลิปที่ผมตัดมาให้ดู จะเห็นภาพชัดเจนครับ
 
    สิ่งเหล่านี้มันบอกอะไรเราบ้างล่ะครับ มันสะท้อนสิ่งที่เราไม่ได้เป็นแต่เราพยายามจะเป็น แล้วก็ไปถือมั่นเอาจริงเอาจัง เราพยายามจะเป็นคนเคารพกฎจราจรทั้งที่ผมเชื่อว่าคนไทยเราแทบทุกคนไม่ได้เคารพจริงจัง ดูเรื่องความเร็วก็ได้ เราใช้ความเร็วกันเกินกฎหมายแทบทุกคัน ถ้าไม่มี ตร มาคอยตั้งด่านรับรองไม่มีคันไหนยอมขับช้า  ถ้าไม่มี ตร มาคอยล๊อคล้อหรือยืนไล่ เราก็จอดรถในที่ห้ามจอด แถวใต้สถานนีรถไฟฟ้า เวลาเลิกงานเห็นกันจนเบื่อ กระพริบไฟกันเป็นแถวยาว เสียไปหนึ่งช่องทางสองช่องทาง แต่ถ้าเวลาเราเป็นคนถูกกฎขึ้นมาล่ะก้อ เราจะเป็นจะตายให้ได้กับพวกผิดกฎ ฆ่าได้หยามไม่ได้ประมาณนั้น 55555 ผมไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องการทำผิดกฎจราจรนะครับ แต่ผมคิดว่า กฎใจน่ะสำคัญกว่ากฎจราจร มีน้ำใจให้กันสำคัญกว่า ต้องเอาตรงนี้มาก่อน แล้วกติกามาทีหลัง อากาศมันก็ร้อน รถมันก็ติด มาใจเย็นๆ ยอมๆกันบ้างเถอะครับ ใครมันจะเอาเปรียบเรา ก็ปล่อยมันเอาเปรียบซะให้เข็ด  เดี่ยวมันก็เบื่อไปเอง 5555  สุดท้ายครับ ความรู้คู่เดินทาง สนุกสนานทุกครั้งที่ไป  โชคดีทุกท่านครับ

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ศาสนาพุทธในสังคมโลก

นั่งตัดรายการสารคดี เรื่องความเชื่อของไทยก้าวไกลสู่อาเซียน ก็เรื่องนัตความเชื่อของพม่าที่กลายมาเป็นเทพทันใจของคนไทยนี่แหละครับ ตัดไปก็อ่านข่าวไปด้วย เจอเรื่องธรรมกาย คิดอยู่นานว่าจะเขียนเรื่องนี้ดีไหมเพราะก็อย่างที่รู้ๆกันเรื่องของศาสนาความเชื่อนี่ มีข้อห้ามในวงเพื่อน วงเหล้ามานาแล้วว่า ห้ามพูดเด็ดขาด ฆ่ากันตายหรือเสียเพื่อนกันมาเยอะแต่ก็อย่างว่า อดไม่ได้ขอกล่าวถึงซะหน่อยแล้วกันหวังว่า คงไม่เกิดการฆ่ากันหรอกนะ55555
     กำลังเป็นประเด็นอีกครั้งเรื่องของ ธรรมกาย ซึ่งต้องบอกว่าทั้งฝ่ายเชียร์ฝ่ายด่ามีมากพอกัน ถือว่าเป็นมวยสูสีใครชอบทางไหนก็เอาทางนั้นแล้วกัน โดยส่วนตัวผมถือว่าแล้วแต่ศรัทธาใครศรัทธามัน แต่เรื่องที่อยากจะพูดในวันนี้คือประเด็นเรื่องคามใจกว้างในเรื่องของศาสนานี้ เอาแคบๆมาที่ศาสนาพุทธซึ่งก็เป็นศาสนาที่คนไทยเราส่วนใหญ่นับถือกัน
     ขอเล่าความสั้นๆเกี่ยวกับประวัติศาสนาพุทธเผื่อเพื่อนๆหลายท่านอาจลืมไปหรือไม่ได้สนใจจะจำแล้วหน่อยแล้วกัน พุทธเรานี้มีกำเนิดมาจาก เจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งเป็นเจ้าทางเหนือของอินเดีย ปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล ก็ถือว่าเป็นเจ้าครองนครเล็กๆในสมัยนั้นแหละครับ  ยุคนั้นอินเดียเต็มไปด้วยแคว้นเล็กใหญ่ ปรองดองกันบ้าง ทะเลาะรบกันบ้างไปตามเรื่องตามราว ผู้คนในยุคนั้นก็สนใจกันเรื่องหาความสงบกันมาก มีเจ้าสำนักหลายลัทธิมากมาย แต่ศาสนาหลักๆที่นับถือกันในตอนนั้นก็คือ ศาสนาพราหมณ์นั้นเอง เจ้าชายสิทธัตถะเองก็ออกบวชและหาแนวทางตามความเชื่อต่างๆมามากมายแต่พระองค์เชื่อว่า ไอ้ที่ศึกษาเรียนมาตามสำนักต่างๆนั้นไม่ทำให้พระองค์พ้นจากทุกข์ได้ เรียกง่ายๆว่าไม่บรรลุนั้นเอง ก็เลยตัดสินใจออกหาทางพ้นทุกข์ด้วยตัวเอง จนมาบรรลุสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าเมื่ออายุ 35 หลังจากพยายามมาเป็นเวลา  6 ปี ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เล่าถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องหน่อย คือผมชอบพุทธประวัติตอนนี้มากเลย ชอบมากจนอยากจะทำเป็นหนังสารคดีอ่ะ ผมว่ามันดราม่าดี ลองคิดดูสิครับ ปุถุชนคนหนึ่งเบื่อโลกออกเดินทางแสวงหาทางพ้นทุกข์ ไปเรียนสำนักนั้นสำนักนี้ ก็ไม่ชอบ ไม่ถูกใจไ ม่บรรลุ จนมานั่งคิดอยู่ใต้ต้นไม้ริมฝั่งแม่น้ำ คืนเดือนเพ็ญ  แล้วแบบก็ เฮ้ย คิดออกแล้วอ่ะ มันเป็นของมันอย่างนี้นี่เอง 55555 อันนี้จินตนาการของผมน่ะ สรุปคือ จากเจ้าชายสิทธัตถะ ก็กลายเป็นพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นท่านออกเริ่มออกเผยแพร่แนวคิดของท่านออกไป ก็มีสาวกผู้นับถือมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากคำสอนที่เป็นเรื่องของเหตุผลแล้ว อีกประเด็นที่น่าจะทำให้ศาสนาพุทธเริ่มเป็นที่นิยมก็น่าจะเป็นเรื่องของ แนวคิดที่ไม่มีระบบวรรณะนั้นเอง ระบบวรรณะของอินเดียมีมานานและฝังรากลึกในสังคม ตั้งแต่ยุคสมัยที่พวกอารยันจากเอเซียกลางรุกรานเข้ามาในอินเดีย อารยันเป็นพวกผิวค่อนข้างขาว หน้าตาก็พวกแขกขาวนั้นแหละ พวกนี้เอาความเชื่อเรื่องพระเวทเข้ามา และจัดระบบชั้นวรรณะ พวกอารยันฝ่ายตัวเองก็เป็นพวกชนชั้นสูง เป็นพราหมณ์ เป็นกษัตริย์ เป็นนักรบ พวกผิวคล้ำผิวดำ ชนพื้นเมืองที่อยู่มาก่อน ก็กลายเป็นพวก ใช้แรงงาน เกษตรกรไป ห้ามปะปนกัน ใครไปแต่งงานมีลูกข้ามวรรณะ หรือเรียกง่ายๆว่า ผิดสี เพราะวรรณะนี่แปลว่า สี ก็ซวยลูกด้วย ถูกลดชั้นไปเป็นจัณฑาลเลย คือไม่มีวรรณะ ไม่มีสถานะทางสังคมใดๆทั้งสิ้น ประมาณว่า ไม่มีตัวตนนั้นแหละครับ ถือเป็นการลงโทษทางสังคมที่รุนแรงมากนะครับ ลองคิดดูง่ายๆสิ มนุษย์เรานี่น่ะเป็นสัตว์สังคมต้องอยู่ร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกัน อยู่โดดเดี่ยวคนเดียวไม่ได้ แล้วคุณถูกห้ามไม่ให้มีบทบาทคบหาใครในสังคมมันจะเป็นยังไง ถูกมองถูกกระทำเหมือนไม่มีตัวตน ด้วยเหตุเรื่องการไม่มีวรรณะ ในศาสนาพุทธนี่แหละครับ ทำให้คนในสังคมยุคนั้นส่วนหนึ่งสนใจและหันมานับถือพุทธกันมากขึ้นเรื่อยๆ และก็เป็นธรรมดาของทุกสิ่งแหละครับ หลังจากที่พระพุทธเจ้าท่านปรินิพานไปแล้วไม่นานเท่าไร พุทธเราก็เริ่มมีความเห็นไม่ลงรอยกันในหมู่สาวกทั้งหลาย  ในที่สุดก็แตกออกเป็น 2 นิกายคือ แบบเก่ายึดเอาแบบเดิมเปะๆเรียกว่า เถรวาทหรือหินยาน กับอีกแบบที่เชื่อว่าบางสิ่งบางอย่างมันเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ก็เรียกตัวเองว่า มหายาน ทั้งสองนิกายก็เผยแพร่ศาสนาพุทธของเราออกไปตามความเชื่อของฝ่ายตัวเอง  ในอินเดียยุคต่อมาส่วนใหญ่ พุทธแบบมหายานเจริญรุ่งเรืองมากครับ ขยายไปจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไปทางธิเบตแถวหิมาลัย ไปทางตะวันตกตามเส้นทางการค้า อัฟกานิสถานนี่พุทธมหายานรุ่งเรืองมากเลยนะครับ หลายท่านคงจำได้ ตอนที่พวกตาลีบันยึดครองอัฟกานิสถาน แล้วระเบิดยิงทำลายพระพุทธรูปหินสลัก ใหญ่ๆไปมากมาย เรียกได้ว่า ในตอนนั้นเป็นยุคทองของพุทธมหายานเลยทีเดียวแตกแขนงออกเป็นสารพัดนิกาย แตกต่างประหลาดกันจนบางนิกายไม่น่าเชื่อว่าเป็นศาสนาพุทธ แม้นกระทั่งใกล้ๆบ้านเรา เขมรขอมยุคแรก หรือทางภาคใต้ แรกๆ ก็เป็นพุทธมหายานเหมือนกันส่วนเถรวาทนั้นแผ่ขยายมาทางอินเดียใต้ มาศรีลังกาแล้วมาเอเซียอาคเนย์ หลักๆก็พม่า ไทย ลาว นี่แหละครับ ไทยเราก็รับเอาพุทธเถรวาทมาจนถึงวันนี้
     พุทธเถรวาทนั้นตั้งอยู่บนความเชื่อว่า ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ง่ายคือ สมัยพระพุทธเจ้าท่านกำหนดอะไรไว้ก็เอาอย่างนั้น คงไว้อย่างเดิมแต่ก็เป็นธรรมดาโลกครับ เวลาเป็นพันๆปีก็อาจมีบ้างที่ถ่ายทอดกันมาไม่หมดไม่ครบหรือผิดเพี้ยนไปบ้าง อย่างไทยเราเคยรับเอาพุทธมาจากประเทศศรีลังกา จนมารุ่งเรือง ต่อมาทางศรีลังกาศาสนาพุทธเกิดเสื่อมถอย ไม่มีพระสงฆ์ต้องนิมนต์พระอุปปัชฌาจากไทยเราไปบวชให้ จึงมีคำเรียกว่า สยามวงศ์ ลังกาวงศ์ แต่ก็เป็นเถรวาทเหมือนกัน ส่วนในไทยเรานั้นเถรวาทแตกออกเป็น 2 นิกายกล่าวคือในยุคสมัย ร4 พระจอมเกล้าท่านก็ตั้งนิกายขึ้นมาใหม่ คือ ธรรมยุติ ส่วนนิกายของเดิมคือ มหานิกาย  มีข้อปฎิบัติแตกต่างกันไม่มากนัก  แต่ถ้าอยากจะรู้ว่า วัดนี้พระนี้นิกายไหน ก็ดูที่สี จีวรก็ได้ครับ มหานิกายจีวรจะสีสดๆ ส่วนธรรมยุติจะสีหม่นๆอย่างที่เรียกว่าสีกลักน่ะแหละ
     ธรรมยุติมีจำนวนน้อยกว่า แต่ต้องเรียกว่า มีอิทธิพลมากกว่า พูดอย่างนี้ไม่ได้ชวนทะเลาะให้แตกแยกกันนะครับ พูดไปตามเนื้อผ้าเท่านั้น เพราะจะว่าไปคือ พระมหากษัตริย์คือพระจอมเกล้าท่านเป็นคนตั้งนิกายนี้ โดยมีวัดบวรเป็นเสาหลักของธรรมยุติ มีมหามกุฏราชวิทยาลัยเป็นสถาบันหลักทางการศึกษา มีเจ้านายหลายพระองค์ในอดีตที่บวชในนิกายนี้แล้วก็เป็นพระสังฆราชกันหลายพระองค์ สมเด็จญาณพระสังฆราชที่เพิ่งสิ้นพระชนม์ไปก็อยู่วัดบวร ธรรมยุตนี่แหละครับ
     ส่วนมหานิกายพวกเยอะกว่า วัดเยอะกว่า วัดดังๆก็เช่น วัดสระเกศที่สมเด็จเกี่ยวท่านเคยอยู่  วัดปากน้ำที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์หรือเรียกกันว่า สมเด็จวัดปากน้ำ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันท่านอยู่ และวัดที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปาก วัดธรรมกาย นั้นเอง  วัดเหล่านี้เป็นมหานิกาย มีมหาจุฬาลงกรณ์เป็นสถาบันการศึกษาหลัก  สายมหานิกายนี้ในอดีตก็มีพระสังฆราชหลายพระองค์อยู่ อย่างที่ผมจำได้ ก็พระสังฆราช แพ วัดสุทัศน์ ที่จำได้เพราะพระกริ่งดัง ทั้งพระกริ่งพรหมมุนี พระกริ่งอินโดจีน
     เล่ายืดยาวมาขนาดนี้ มีเหตุผลเดียวครับคือจะเล่าว่า พุทธเรามีหลายนิกายนะครับ มากมายนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว เอาเถรวาทสยามวงศ์ของไทยเรายังมี 2 นิกาย มีข้อห้ามความเชื่อแตกต่างกันจะบอกของใครดี ไม่ดีก็คงไม่เหมาะไม่ได้  ผมจึงอยากจะเห็นความใจกว้างของพุทธเราครับ ว่าหลายอย่างอาจไม่ตรงใจท่าน ขัดใจเรา ก็ต้องพิจารณากันด้วยเหตุผลไป จะบอกว่าเราเป็นเถรวาทเปลี่ยนแปลงอะไรเลยไม่ได้นั้น ก็คงไม่ถูกทั้งหมดเพราะเราเองยัง 2 นิกาย และจะว่าไป ตอนนี้พุทธแบบไทยเราก็กลายเป็นพุทธแบบใหม่ของโลกไปแล้วนะครับ เอาง่ายๆเลย พุทธเรานี่แข่งกับพราหมณ์อินดูมาตลอด ยิ่งพุทธมหายานนี่แย่งชิงศรัทธามหาชนกับฮินดูในอินเดียกันมันหยดติ่ง ฮินดูมีเทพต่างๆ มหายานมีพระโพธิสัตว์มีฤทธิ์ไม่แพ้กัน  ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้กันแต่สุดท้ายฮินดูก็เป็นฝ่ายชนะในประเทศอินเดีย พุทธมหายานก็เสื่อมถอยลงไป เรียกง่ายๆว่า พุทธกับฮินดูนี่ เป็นคู่แข่งกันก็ไม่ผิดอะไร แต่ไทยเรายุคนี้เก่งครับ 5555 เราเอาพุทธกับฮินดูมาอยู่ร่วมกันสำเร็จแล้วครับในปัจจุบันนี้ ไปวัดดังๆที่คนชอบทำบุญเราจะเจอเทพฮินดูหลายองค์มาประจำการเรียบร้อย  แรกๆ อาจเจอแค่พระพิฆเนศ แต่ตอนนี้ มีครบแล้วครับ พระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม เทพเหล่านี้พร้อมใจกันประทับประจำการกันอย่างพร้อมเพรียง ฉลองศรัทธามหาชนชาวไทย อยู่รวมกันกับพระพุทธรูปเลย บางวัดก็อาจจะยังเขินๆหน่อย ก็แยกมาตั้งศาลาต่างหาก ไหว้เทพเสร็จก็ไหว้พระต่อเลย เรียกได้ว่า มาวัดทั้งทีไม่มีพลาด พระอาจจะลืมบุญกุศลที่เราทำ ก็ยังมีเทพต่างๆสำรองอีกก๊อก หรือ พุทธอย่างมหายานก็มาอยู่ในวัดเถรวาทเนียนๆ ตัวอย่างก็ เจ้าแม่อวนอิมหรือพระอวโลกิเตศวร นั้นแหละครับ อันนี้เป็นพระโพธิสัตว์ทางพุทธมหายานเค้า ท่านก็มาประทับอยู่กับสายเถรวาทแบบที่คนไทยเราไม่รู้สึกอะไร
     สิ่งเหล่านี้มันสะท้อนความเป็นไทยของเราตรงไหนบ้าง  มันสะท้อนเลยเยอะครับผมตอบแบบไม่ต้องคิด เราไม่ได้เป็นพุทธที่เคร่งอะไรมากมายเลยครับ เราเป็นพุทธพานิชย์ซะส่วนมากนั้นคือส่ิงที่เราเป็น ทำบุญตักบาตรแบบคนกรุงเทพที่เรียกว่า ใส่บาตรเวียน จากแม่ค้าสู่บาตรพระ แล้วกลับไปโต๊ะแม่ค้าอีกนี่ มันมีเฉพาะบ้านเรานะครับ และส่วนมากก็ในกรุงเทพนี่แหละ เวียนกันเห็นๆตรงนั้นไม่ต้องไปแอบตรงไหนให้เสียเวลา คนใส่บาตรก็ยอมรับได้ เพราะไปคิดเอาว่า ฉันใส่บาตรแล้ว ฉันได้บุญแล้ว เอาสะดวกเข้าว่า 55555 เอาแนวคิดพุทธตรงไหนมาคิดครับ จะต่อต้านพุทธวัตถุนิยมนี่ แล้วที่ทำๆพระเครื่องกัน  พระบูชากัน ไหนจะพระพุทธรูปทั้งเล็กทั้งใหญ่แบบใหญ่ที่สุดในโลก  อย่างนี้ถือว่า พุทธวัตถุนิยมไหมครับ สร้างวัดวิหารใหญ่ๆ หรือเล็กๆแต่สวยขาดใจอย่างวัดร่องขุน อาจารย์เฉลิมชัยนี่ พุทธวัตถุนิยมไหมครับ ถ้าใช่ต้องก็ต้องด่ากันให้หมดครับ  วัดที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวดังไปทั่วโลกอย่างวัดโพธิ์ วัดพระแก้ว ก็ต้องเข้าข่ายด้วย
     พุทธเราเองก็สอนอยู่แล้วครับ ว่าคนมีหลายประเภทหลายจำพวก จะบัวในตมหรือพ้นน้ำลอยในอวกาศ มันก็เป็นคนอยู่สังคมเดียวกัน ระดับสติปัญญาวิธีคิดย่อมแตกต่าง พระพุทธเจ้าท่านเองก็ยังบอกว่า คนแบบไหนก็ต้องใช้วิธีสอนให้เหมาะสม คนฉลาดก็ไปอ่านไปคิดได้เอง  แบบสติปัญญาธรรมดาๆทั่วไปก็ต้องสั่งสอน  ส่วนพวกติดบื้อๆ เนื้อสมองน้อยหน่อยก็ต้องใช้อุบายหลอกล่อ นรกสวรรค์ว่ากันไป ให้เชื่อให้กลัว แต่ก็ด้วยเจตนาดีอยากให้บรรดา พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้เข้าถึง มรรคผล ทั้งนั้น การทำบุญทำทานมันก็เป็นอุบายอย่างหนึ่งแหละครับ ถ้ามองแบบไม่ยึดติดอะไรมาก รูปแบบที่ธรรมกายเค้าใช้ระดมทำบุญทำทาน มันอาจไม่ตรงจริตบ้างก็ว่ากันไป แต่ความใจกว้างทางความคิดควรจะมีกัน ถ้าเราไม่ชอบแทนที่จะมาด่าว่า ทำไมไม่พยายามเผยแผ่สิ่งที่เราคิดว่าดีกว่าแทนล่ะครับ เสนอให้สังคมเห็นสิครับว่า มีแนวทางที่ดีกว่าการทำบุญแบบนั้น  เผยแพร่เรื่องคำสอนที่ถูกต้องออกไปสิครับ ถ้าเชื่อว่าสิ่งที่เค้าเผยแพร่มันผิด ไม่ใช่เราก็ไม่ทำ แต่คนอื่นทำเราก็ไม่ชอบ ผมว่ามันใจแคบไปนิด  สุดท้ายครับ ความรู้แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ยิ่งถ้าเป็นความรู้คู่เดินทางนี่   ต้องบอกว่าสุดยอด  โชคดีครับทุกท่าน

ภาพประกอบหลายที่เลย อ่านบรรยายในแต่ละรูปนะครับ