วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การล่าสัตว์ จริยธรรมกับเกมกีฬา

ภาพถ่ายที่แอฟริกาครับ ทั้งซิบบับเว่ แซมเบีย  ส่วนสิงโตถ่ายที่เคนย่าครับ คำบรรยายตามภาพเลยครับ

    กำลังร้อนแรงในโลกโซเซี่ยลสุดๆ กับเรื่องของเจ้าเซซิล สิงโตเซเลบที่โดนหมอฟันอเมริกันฆ่าตาย แล้ววันนี้ยังเป็นวันพระใหญ่สำหรับชาวพุทธครับ วันอาสาฬหบูชา สำหรับชาวพุทธส่วนมากก็ไปทำบุญเวียนเทียนกันตามประเพณีนิยม และตามปกติแล้ววันนี้โรงฆ่าสัตว์ก็หยุดมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ปัจจุบันหยุดหรือเปล่าก็ไม่ทราบแน่ชัดเหมือนกัน เพราะอายุเริ่มเยอะ ไม่ค่อยได้กินเนื้อสัตว์ใหญ่มานานแล้ว ไม่ได้เคร่งถือศีลอะไรหรอกครับ กินไม่ไหวเอง5555 แต่ก็ไม่ได้เลิกกินอะไรเฉพาะนะครับ กินเนื้อได้ทุกอย่าง แต่บังเอิญดาวเรืองเลิกกินเนื้อวัว ตามมาด้วยเนื้อหมู ผมก็เลยกินน้อยลงไปด้วยเพราะส่วนมากจะทำกับข้าวกินเองที่บ้าน ถือว่าได้บุญได้กุศลไปโดยปริยาย ส่วนพวกเนื้อสัตว์แปลกๆ ที่ไม่ได้เลี้ยงเป็นปศุสัตว์หรือสัตว์ป่านี่ เลิกกินเด็ดขาดมานานแล้วครับ  ไม่สนับสนุนด้วย จำได้ว่าสมัยเป็นผู้จัดการบ้านจัดสรร ตอนทำโครงการสร้างบ้านนั้น พื้นที่เดิมเป็นทุ่งหญ้าโล่งๆสลับกับหนองน้ำ ก็มีพวกนกแปลกๆมาอาศัยทำรังกัน  คนงานก่อสร้างก็มักจะมาดักเอานกเหล่านี้ไปเป็นกับข้าวเสมอ เดินถือนกกลับแคมป์คนงานผ่านออฟฟิสผมทุกเย็น ผมก็จะแวะออกมาดูเพื่อขอซื้อนกเหล่านั้น โดยตีราคาให้เท่ากับเนื้อหมูหรือเนื้อสัตว์ที่เค้าต้องการ ก็เป็นเงินไม่มากหรอกครับ แต่บางครั้งนกเหล่านั้นก็บาดเจ็บมากแล้ว เอาไปปล่อยก็คงไม่รอด ก็ต้องให้เค้าเอาไปกินกัน ถามว่าทำไมผมไม่ห้ามพวกคนงาน ตอบได้เลยครับว่า ไปห้ามไม่ได้หรอกครับ  พวกคนงานเค้าก็ต้องการอาหาร รายได้เค้าไม่ได้มากมายอะไร และวิถีชีวิตเค้าก็ดักนกดักหนู เอามาทำกับข้าวเป็นอาหารมาแต่ไหนแต่ไร เค้าไม่ได้เติบโตมาพร้อมกับซุปเปอร์มาเก็ต หรือ 7-11 หน้าปากซอยบ้านที่หิวเมื่อไรก็แวะมา หรือถึงมันจะมีตั้งอยู่ กำลังซื้อเค้าก็ไม่พอที่จะจ่ายอะไรขนาดนั้น เมื่อเห็นอาหารใกล้ๆรอบตัวก็เป็นธรรมดาที่จะจับมากิน  ซื้อบ่อยครั้งมากเค้า พวกคนงานก็ถามว่า ผมซื้อไปทำไม เลี้ยงก็ไม่ได้เลี้ยง กินก็ไม่กิน เอาไปปล่อยหมด ก็ไม่กล้าตอบพวกเค้าแบบโลกสวยอะไรหรอกครับว่า เป็นนักอนุรักษ์ นกกำลังจะหมดโลกอะไร กลัวเค้าไม่เข้าใจจะพาลไม่ขายให้เอา ก็ตอบไปง่ายๆว่า เห็นมันสวยดี เวลาทำงานเหนื่อยๆ ออกมานั่งพักเห็นมันบินไปมา ชอบแต่ขี้เกียจเลี้ยง ไม่อยากรับผิดชอบหาอาหารให้มัน  ตอบไปอย่างนี้ เออ เข้าใจง่ายแฮะ พวกคนงานเลยบอกว่า งั้นคราวหลังพวกผมจะทำกับดักแบบไม่ให้พวกนกมันบาดเจ็บมาก เวลาปล่อยมันจะได้ไม่ตาย  อ้าวงั้นก็แจ๋วเลยดิ กิจการซื้อนกปล่อยป่าของผมก็เจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด นกที่ถูกจับได้ไม่บาดเจ็บมากนัก เวลาเดินมาไม่เจอผม พวกเค้าก็จะรอหรือไม่ก็กลับมาอีกครั้ง ไม่มีพวกนกที่ต้องตายอีก ส่วนผมก็ทำเรื่องนี้เสนอเจ้านายไป ว่าของบประมาณมาซื้อนกด้วย ไม่มากมายอะไร โดยให้เหตุผลว่า ต่อไปนกพวกนี้มันคงมาอาศัยอยู่ในสวนสาธารณะของหมู่บ้านที่เราสร้างมาทดแทนหนองน้ำที่อยู่เดิมของมัน เจ้านายโดนผมกล่อมทุกวันก็เริ่มเคลิ้มตาม อนุมัติงบมาให้ผมจัดการ

     หลายท่านอาจคิดแย้งว่า ยิ่งผมไปรับซื้อนกเหล่านั้น มันก็ยิ่งไปสนับสนุนการล่านกนะแหละ ห้ามไปเลยดีกว่า เรื่องนี้มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะครับ เราต้องไม่ลืมว่า คนเรานั้นมาจากที่มาต่างกัน วัฒนธรรมความเชื่อที่แตกต่าง ความลำบากในการใช้ชีวิต มีชีวิตที่แตกต่างกัน ย่อมคิดไม่เหมือนกัน เรียกง่ายๆว่า โลกใบเดียวกันแต่มองคนละมุม เมือมองคนละมุมมันก็กลายเป็นคนละเรื่องกันเลยแหละครับ คนที่มาจากสังคมที่ต้องพึ่งพาตัวเอง อยากกินเนื้อสัตว์ก็ต้องหาเอาเอง ล่าเอง ฆ่าเองนั้น เค้าก็จะเคยชินกับสิ่งเหล่านั้น ส่วนคนเมืองที่สังคมเปลี่ยนไปเป็นสังคมแบบพึ่งพาซับซ้อน ย่อมไม่คุ้นเคยกับการล่า การฆ่า เป็นธรรมดา เมื่อเห็นเมื่อรับรู้เรื่องเหล่านี้ ความอ่อนไบหวกับเรื่องเหล่านี้ก็มากเป็นธรรมดา คนเมืองอยากกินเนื้ออะไรก็แค่ไปที่ซุปเปอร์มาเก็ตใหญ่ๆ มีชิ้นเนื้อสัตว์ตัดตบแต่งเรียบร้อยให้เลือก เนื้อจระเข้ นกกระจอกเทศ เนื้อกวาง ยังมีขายเลยครับ แต่แถวไร่กาแฟผมที่บนดอยวาวี เชียงรายนี่ ร้านขายของที่ใกล้สุดในตัวตำบลต้องขับรถขึ้นเขาลงห้วย ไปสามสิบแปดดอย 55555 ระยะทางประมาณ 10 กม ทางลูกรังขับมอไซค์เร็วสุด ต้องมีครึ่งชม ถ้าหน้าฝน ฝนตกหนักๆอาจต้องใช้เวลา 3วัน กว่าจะถึงร้านขายของในตำบล จะซื้อของมาตุนมาแช่ในตู้เย็นก็ไม่สะดวกนักเพราะแถวนั้น ไฟฟ้าหลักยังไม่เข้า ต้องใช้ไฟฟ้าพลังน้ำ พลังแสงอาทิตย์กันอยู่  เพราะอย่างนี้คนแถวไร่ผม ถ้าอยากกินเนื้อก็ต้องยิงนกยิงหนูกันไปตามเรื่อง ถ้าอยากจะกินหมูกินวัวกันจริงๆ ก็ต้องงานใหญ่ๆ เท่านั้น ล้มวัวล้มหมูกันที ก็ต้องแจ้งข่าวกันล่วงหน้า ว่าบ้านไหนจะเอาเนื้ออะไร เอากี่โล ซื้อขายกันล่วงหน้าเหมือนทองคำเลยครับ 55555 ไม่มีคนเอาเนื้อจนคุ้มก็ฆ่าไม่ได้ คนแถวนั้น ก็กินแต่ผักกันตัวเขียวไปหมด ทุกมื้อก็ผักสด ผักต้มไปตามเรื่อง

      นี่แหละครับ ชีวิตจริงของสังคมโลกเรา ฆ่าเป็นอาหารนี่ผมว่าไม่ผิดหรอกครับ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อะไรแต่ต้องดูว่าสังคมไหนด้วยนะครับอย่าไปฝืนกระแสเค้า สัตว์ไหนสังคมไหนเค้าไม่กิน ก็อย่าไปกินมันเลย ส่วนถ้าสังคมไหนเค้ากินกัน คนส่วนมากเค้ากินกัน คนสังคมอื่นก็อย่าไปยุ่งกับเค้าเลย เราก็ต้องถืออุเบกขาปล่อยวางเหมือนกัน แต่ถ้าล่าเอาขนเอาหนังเอาเขาเอางา เอาส่วนประกอบย่อยๆแต่ต้องฆ่าทั้งตัวนี่ต้องด่าต้องประนามอย่างหนัก พวกล่าสัตว์ฆ่าสัตว์เป็นเกมกีฬานี่ อันนี้ผมก็ไม่เห็นด้วยครับ ยกเว้นกรณีการฆ่าเพื่อควบคุมประชากรตามหลักสมดุล แต่ก็ตรงจุดนี้แหละครับ ที่การฆ่าเพื่อสมดุลประชากรสัตว์ถูกนำมาใช้เป็นเหตุผลของการฆ่าเพื่อเกมกีฬา ในแอฟริกามีหลายประเทศที่อนุญาติให้ล่าสัตว์บางชนิดได้ เลยเกิดเป็นช่องโหว่จนเกิดกรณีแบบ เซซิล สิงโตเซเลป อย่างนี้ก็ต้องด่าแบบไม่ต้องคิดแหละครับ ว่าเป็นเรื่องปมด้อยผู้พิชิตของผู้นิยมการล่าจริงๆ  สุดท้ายครับ  ความรู้คู่เดินทาง สนุกสนานทั้งชีวิต  โชคดีครับ
















วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ขับรถเมืองไทย น้ำใจกับกฎจราจร

ติดภารกิจตัดรายการสารคดีประจำไม่เสร็จเพราะทางช่องจะเร่งเอาก่อนเข้าพรรษาก็เลยไม่ได้มาเขียนประจำวันตามที่ตั้งใจ 5555 ก็พยายามแล้วนะ คิดเอาเองอย่างนั้น
      ที่ตั้งหัวข้ออย่างนี้เพราะอ่านเรื่องราวในเฟสบุค ในอินเตอเนตนี่แหละครับ เดี่ยวนี้บ้านเราโลกเรากลายเป็นโลกแห่งกล้อง โลกแห่งคลิป ทุกๆอย่างต้องแชร์ต้องบอกกล่าวให้โลกรู้ ทุกคนเป็นผู้รายงานข่าวได้ สมัยนี้ใครไม่มีกล้องถ่ายรูปนี่คงแปลกประหลาดแล้วล่ะครับ เพราะมือถือทุกรุ่นที่ใช้ๆกันก็น่าจะมีมือถือกันหมดแล้ว
    อ่านเฟสไปเจอเรื่องราวที่เพื่อนๆของผมแชร์กันมาอีกที เรื่องคลิปรถเก๋งขับปาดหน้ากันแหละกัน ค่อนข้างบ่อยกับเรื่องแนวนี้แต่ที่ผมสนใจคือ คอมเมนต์ต่างๆที่คนเข้ามาดูแล้วก็เขียนกันไป ตามที่ตนรู้สึก สรุปก็มีทั้งแนวว่า คนขับที่แซงไม่มีมรรยาทผิดกฎ และอีกแนวก็คือ คนแซงน่ะผิดอยู่แล้ว แต่คนที่ถูกปาดถูกแซง ก็ไร้น้ำใจและเกินไปหน่อย ก็ให้เหตุผลกันไป เรื่องใครผิดใครถูกผมไม่ขอสนใจน่ะครับ ดูกันเองพิจารณาอันเอง แต่เรื่องที่อยากจะพูดคือ เรืองการขับรถในเมืองไทย
    เรื่องขับรถบ้านเรานี่ ในรายการผมก็เสนอให้คุณประกรณ์ แกพูดในรายการบ่อยครั้งแล้ว ประเด็นมันอยู่ที่ว่า เคยสังเกตุเรื่องการขับรถของคนไทยเราไหมครับว่ามีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนชาติใดในโลกเลย ยกตัวอย่างมาให้เห็นลักษณะเด่นๆก็มีดังนี้ครับ
   1  ขับเร็ว ไม่ว่าถนนเล็กถนนใหญ่ ในเมือง นอกเมืองใส่กันไม่ยั้ง ในเมืองนี่ ลองถนนโล่งๆดิ ใส่กันเป็นร้อย  นอกเมืองขนาดถนนด่าๆกันว่าไม่ดี นี่เหยียบกันร้อยกว่าๆ ทุกคน เชื่อไหม ผมเคยขับจากกรุงเทพกลับโคราช ใช้ความเร็วประมาณ 90 กม รถทุกคันที่วิ่งไปทางเดียวกับผมแซงผมหมด แม้นกระทั่งมอไซค์คันเล็กๆ จะมีใครผมแซงได้บ้างก็รถอีแต๋น กับจักรยานเท่านั้น  ส่วนในกรุงเทพผมขับไม่เกิน 60 ทุกคนที่แซงผมไป ไม่หันมามองหน้าก็ทำปากขมุบขมิบกันทั้งนั้น 5555 สงสัยคงอวยพรให้ผม
   2  ใจร้อน  คนบ้านเรานี่แปลกนะครับ เดินธรรมดานี่ยิ้มแย้มแจ่มใส ใจเย็น อะไรนิดอะไรหน่อย หยวนๆยอมกันได้ แต่พอลองไปอยู่หลังพวงมาลัย ใส่เกียร์ขับรถเมื่อไรล่ะก้อ เปลี่ยนร่างทันที  ใจร้อนขึ้นมาเลยไม่ว่าหญิงชาย หนุ่มแก่ จะขับรถถุก รถแพง เป็นเหมือนกันหมด บางคนก็ไม่ใช่คนใจร้อนอะไร แต่พอขับรถออกอาการใจร้อน ขี้หงุดหงิดกันหมด เคยถามเคยนั่งคุย ก็บอกไ่ม่รู้เหมือนกัน บางคนก็บอกว่าอากาศร้อน รถติด โหนี่ขนาดอยู่ในรถเก๋ง แอร์เย็นๆน่ะนี่
   3  ห้ามใช้แตรเด็ดขาด ยกเว้นฉุกเฉินเป็นตาย รถยนต์ที่ใช้ในบ้านเราโดยเฉพาะกรุงเทพนี่ มีแตรได้แต่ห้ามกดเด็ดขาด อาจเป็นเรื่องเป็นราว ยิงกันตายฆ่ากันตาย แค่เรื่องแตรนี่แหละครับ ไม่เชื่อผมลองสังเกตุตัวเองดูสิ เวลาขับรถถ้ามีคนมากดแตรข้างหลังนี่ เราจะแบบออกอาการก่อนเลย ประมาณว่า บีบแตรทำไมว่ะ หาเรื่องเหรอ ทั้งๆที่ยังไม่รู้อะไร อาการจะออกแนนี้เกือบทุกคน 5555 ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เสียงแตรมันเหมือนเสียงด่าพ่อล่อแม่ตรงไหนหว่า มันก็เสียงแตรธรรมดาๆ

      อย่างที่ยกตัวอย่างมาให้ดูกันนี่แหละครับ ไม่เหมือนชาติไหนในโลกนะครับ ผมเองเวลาไปถ่ายสารคดีที่ไหนนี่ ก็ต้องมีโอกาสใช้รถใช้ถนนของบ้านเมืองเค้าอยู่แล้ว สังเกตุตลอดเวลาว่าเมืองไหน นิสัยจราจรเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างเอาใกล้บ้านเราก่อน พม่าเพื่อนบ้าน ถ้าย่างกุ้งตอนนี้ รถติดยิ่งกว่าบ้านเราเพราะรัฐยังไม่ควบคุมเรื่องการนำเข้ารถ โตโยต้าอัลพาร์ทปีใหม่ๆ บ้านเราหลายล้านที่นั้นใช้เป็นรถตู้รับจ้าง ผมใช้เป็นรถกองถ่าย นั่งสบายมากถามว่าราคาเท่าไร คนขับบอกประมาณสามแสนบาท ถ้าจำไม่ผิดน่ะ แต่ที่แน่ๆถูกมากๆเพราะรถราคาถูกพอเศรษฐกิจเริ่มดีมีกะตังค์กัน ก็แห่ซื้อรถกันมาก แต่ถนนยังไม่ค่อยจะมีเท่าไร รถติดกันแบบไม่ขยับ แต่บีบแตรไล่กันนี่ไม่โกรธนะ เคยไปนอกเมืองขึนเขาสูง ทางสองเลนวิ่งสวนกัน แซงกัน ปาดกัน ไม่ว่ากันเพราะขืนไม่แซง เจอรถบรรทุกช้าๆวิ่งขึ้นเขาไม่ไหว ก็ต้องแซงออกไปเลย แต่พม่าไม่ขับรถเร็วเท่าไร
   อินโดนีเซีย นี่อย่างแถวเกาะสุมาตราเมืองใหญ่ๆ อย่างเมดาน รถติดกระจายหนักว่าบ้านเรา บีบแตรไล่กันเป็นที่สนุกสนาน แต่ไม่มีใครอารมณ์เสียลงมาเอาเรื่องกัน  ไอ้เรานั่งลุ้นเห็นบีบแต่ไล่กันดังสนั่น นึกว่ามีเรื่องแน่ๆ แต่เปล่าเลย ต่างคนต่างเฉย แค่บีบแตร  ยิ่งออกไปนอกเมืองวิ่งบนเขานี่ อินโดสุดยอดมาก แนะนำว่าคนไทยหรือแม้นกระทั่งคนชาติไหนอย่าได้ไปขับรถที่อินโด  พี่แกทั้งปาด ทั้งแซง แบบกระชั้นชิด ผมนั่งหน้าตลอดเพราะต้องคอยเก็บภาพ นั่งลุ้นช่วยเบรคไปตลอดทาง วันหลังๆเริ่มชินกับสไตล์อินโด ลองสังเกตุดู เออ มันยอดกันแฮะ ถ้าอีกคันแซงสวนขึ้นมา แล้วอีกคันเห็นว่า มันไปได้ เค้ายอมกันนะ ก็หักหลบ กดเบรค หรือชลอ กันไป ไม่เอาชนะกัน ว่ากูถูก มึงผิด เส้นทึบ เส้นประ วิ่งบนเขาหลายวันไม่เห็นอุบัติเหตุเลย คนบ้านเค้าคงรู้จังหวะกันดีผมว่านะ
     เวียดนามนี่ก็สุดยอด อยู่บนถนนเวียดนามไม่ได้ยินเสียงแตรรถนี่ ต้องนึกว่ามาผิดประเทศ ถึงขนาดมีคนเล่าตลกว่า คนเวียดนามถ้ารถเบรคเสียนี่ เฉยๆไม่รู้สึกอะไร ขับใช้รถเป็นปกติธรรมดา แต่ถ้าแตรเสีย กดแล้วไม่ดังนี่เป็นเรื่อง ต้องเอาไปซ่อมให้ดีก่อนเอามาใช้ คนเวียดนามเค้าถือว่า การบีบแต่ขณะขับรถนี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องนะครับ เค้าบีบแตรเพื่อบอกตำแหน่งของเค้าว่า ฉันอยู่ตรงนี้นะ แล้วทุกคนก็มองไปข้างหน้า วิ่งตรงไปข้างหน้า จะรถจักรยานยันรถบรรทุก วิ่งเสมอภาคกันหมดสมเป็นเมืองคอมมิวนิสต์ เวลาจะเลี้ยว รถทุกคันมันจะไหลๆ หลบกันไปเอง ขนาดห้าแยกหกแยก ที่แออัดสุดๆของฮานอยนี่ ผมไปตั้งกล้องที่สูงแล้วถ่ายลงมา เห็นชัดเลยครับ ทุกอย่างมันเคลื่อนที่ไปของตัวเอง ดูไม่เป็นระเบียบ แต่ทุกคนก็ไปกันได้ คนเดินนี่เดินตัดกลางแยกเลย เดินไปเรื่อยๆเค้าห้ามหยุดนะครับ เดินด้วยความเร็วคงที่แบบสบายๆ รถทุกคันจะเลี้ยวจะอ้อมตัวคุณไปเอง เหมือนเดินแหวกทางน้ำยังไงยังงั้น ผมไปเวียดนามบ่อย แทบไม่เห็นอุบัติเหตุแรงๆเลย เค้าไปช้าๆ แต่ไม่ต้องหยุด ไหลๆกันไป ดูคลิปที่ผมตัดมาให้ดู จะเห็นภาพชัดเจนครับ
 
    สิ่งเหล่านี้มันบอกอะไรเราบ้างล่ะครับ มันสะท้อนสิ่งที่เราไม่ได้เป็นแต่เราพยายามจะเป็น แล้วก็ไปถือมั่นเอาจริงเอาจัง เราพยายามจะเป็นคนเคารพกฎจราจรทั้งที่ผมเชื่อว่าคนไทยเราแทบทุกคนไม่ได้เคารพจริงจัง ดูเรื่องความเร็วก็ได้ เราใช้ความเร็วกันเกินกฎหมายแทบทุกคัน ถ้าไม่มี ตร มาคอยตั้งด่านรับรองไม่มีคันไหนยอมขับช้า  ถ้าไม่มี ตร มาคอยล๊อคล้อหรือยืนไล่ เราก็จอดรถในที่ห้ามจอด แถวใต้สถานนีรถไฟฟ้า เวลาเลิกงานเห็นกันจนเบื่อ กระพริบไฟกันเป็นแถวยาว เสียไปหนึ่งช่องทางสองช่องทาง แต่ถ้าเวลาเราเป็นคนถูกกฎขึ้นมาล่ะก้อ เราจะเป็นจะตายให้ได้กับพวกผิดกฎ ฆ่าได้หยามไม่ได้ประมาณนั้น 55555 ผมไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องการทำผิดกฎจราจรนะครับ แต่ผมคิดว่า กฎใจน่ะสำคัญกว่ากฎจราจร มีน้ำใจให้กันสำคัญกว่า ต้องเอาตรงนี้มาก่อน แล้วกติกามาทีหลัง อากาศมันก็ร้อน รถมันก็ติด มาใจเย็นๆ ยอมๆกันบ้างเถอะครับ ใครมันจะเอาเปรียบเรา ก็ปล่อยมันเอาเปรียบซะให้เข็ด  เดี่ยวมันก็เบื่อไปเอง 5555  สุดท้ายครับ ความรู้คู่เดินทาง สนุกสนานทุกครั้งที่ไป  โชคดีทุกท่านครับ

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ศาสนาพุทธในสังคมโลก

นั่งตัดรายการสารคดี เรื่องความเชื่อของไทยก้าวไกลสู่อาเซียน ก็เรื่องนัตความเชื่อของพม่าที่กลายมาเป็นเทพทันใจของคนไทยนี่แหละครับ ตัดไปก็อ่านข่าวไปด้วย เจอเรื่องธรรมกาย คิดอยู่นานว่าจะเขียนเรื่องนี้ดีไหมเพราะก็อย่างที่รู้ๆกันเรื่องของศาสนาความเชื่อนี่ มีข้อห้ามในวงเพื่อน วงเหล้ามานาแล้วว่า ห้ามพูดเด็ดขาด ฆ่ากันตายหรือเสียเพื่อนกันมาเยอะแต่ก็อย่างว่า อดไม่ได้ขอกล่าวถึงซะหน่อยแล้วกันหวังว่า คงไม่เกิดการฆ่ากันหรอกนะ55555
     กำลังเป็นประเด็นอีกครั้งเรื่องของ ธรรมกาย ซึ่งต้องบอกว่าทั้งฝ่ายเชียร์ฝ่ายด่ามีมากพอกัน ถือว่าเป็นมวยสูสีใครชอบทางไหนก็เอาทางนั้นแล้วกัน โดยส่วนตัวผมถือว่าแล้วแต่ศรัทธาใครศรัทธามัน แต่เรื่องที่อยากจะพูดในวันนี้คือประเด็นเรื่องคามใจกว้างในเรื่องของศาสนานี้ เอาแคบๆมาที่ศาสนาพุทธซึ่งก็เป็นศาสนาที่คนไทยเราส่วนใหญ่นับถือกัน
     ขอเล่าความสั้นๆเกี่ยวกับประวัติศาสนาพุทธเผื่อเพื่อนๆหลายท่านอาจลืมไปหรือไม่ได้สนใจจะจำแล้วหน่อยแล้วกัน พุทธเรานี้มีกำเนิดมาจาก เจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งเป็นเจ้าทางเหนือของอินเดีย ปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล ก็ถือว่าเป็นเจ้าครองนครเล็กๆในสมัยนั้นแหละครับ  ยุคนั้นอินเดียเต็มไปด้วยแคว้นเล็กใหญ่ ปรองดองกันบ้าง ทะเลาะรบกันบ้างไปตามเรื่องตามราว ผู้คนในยุคนั้นก็สนใจกันเรื่องหาความสงบกันมาก มีเจ้าสำนักหลายลัทธิมากมาย แต่ศาสนาหลักๆที่นับถือกันในตอนนั้นก็คือ ศาสนาพราหมณ์นั้นเอง เจ้าชายสิทธัตถะเองก็ออกบวชและหาแนวทางตามความเชื่อต่างๆมามากมายแต่พระองค์เชื่อว่า ไอ้ที่ศึกษาเรียนมาตามสำนักต่างๆนั้นไม่ทำให้พระองค์พ้นจากทุกข์ได้ เรียกง่ายๆว่าไม่บรรลุนั้นเอง ก็เลยตัดสินใจออกหาทางพ้นทุกข์ด้วยตัวเอง จนมาบรรลุสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าเมื่ออายุ 35 หลังจากพยายามมาเป็นเวลา  6 ปี ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เล่าถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องหน่อย คือผมชอบพุทธประวัติตอนนี้มากเลย ชอบมากจนอยากจะทำเป็นหนังสารคดีอ่ะ ผมว่ามันดราม่าดี ลองคิดดูสิครับ ปุถุชนคนหนึ่งเบื่อโลกออกเดินทางแสวงหาทางพ้นทุกข์ ไปเรียนสำนักนั้นสำนักนี้ ก็ไม่ชอบ ไม่ถูกใจไ ม่บรรลุ จนมานั่งคิดอยู่ใต้ต้นไม้ริมฝั่งแม่น้ำ คืนเดือนเพ็ญ  แล้วแบบก็ เฮ้ย คิดออกแล้วอ่ะ มันเป็นของมันอย่างนี้นี่เอง 55555 อันนี้จินตนาการของผมน่ะ สรุปคือ จากเจ้าชายสิทธัตถะ ก็กลายเป็นพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นท่านออกเริ่มออกเผยแพร่แนวคิดของท่านออกไป ก็มีสาวกผู้นับถือมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากคำสอนที่เป็นเรื่องของเหตุผลแล้ว อีกประเด็นที่น่าจะทำให้ศาสนาพุทธเริ่มเป็นที่นิยมก็น่าจะเป็นเรื่องของ แนวคิดที่ไม่มีระบบวรรณะนั้นเอง ระบบวรรณะของอินเดียมีมานานและฝังรากลึกในสังคม ตั้งแต่ยุคสมัยที่พวกอารยันจากเอเซียกลางรุกรานเข้ามาในอินเดีย อารยันเป็นพวกผิวค่อนข้างขาว หน้าตาก็พวกแขกขาวนั้นแหละ พวกนี้เอาความเชื่อเรื่องพระเวทเข้ามา และจัดระบบชั้นวรรณะ พวกอารยันฝ่ายตัวเองก็เป็นพวกชนชั้นสูง เป็นพราหมณ์ เป็นกษัตริย์ เป็นนักรบ พวกผิวคล้ำผิวดำ ชนพื้นเมืองที่อยู่มาก่อน ก็กลายเป็นพวก ใช้แรงงาน เกษตรกรไป ห้ามปะปนกัน ใครไปแต่งงานมีลูกข้ามวรรณะ หรือเรียกง่ายๆว่า ผิดสี เพราะวรรณะนี่แปลว่า สี ก็ซวยลูกด้วย ถูกลดชั้นไปเป็นจัณฑาลเลย คือไม่มีวรรณะ ไม่มีสถานะทางสังคมใดๆทั้งสิ้น ประมาณว่า ไม่มีตัวตนนั้นแหละครับ ถือเป็นการลงโทษทางสังคมที่รุนแรงมากนะครับ ลองคิดดูง่ายๆสิ มนุษย์เรานี่น่ะเป็นสัตว์สังคมต้องอยู่ร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกัน อยู่โดดเดี่ยวคนเดียวไม่ได้ แล้วคุณถูกห้ามไม่ให้มีบทบาทคบหาใครในสังคมมันจะเป็นยังไง ถูกมองถูกกระทำเหมือนไม่มีตัวตน ด้วยเหตุเรื่องการไม่มีวรรณะ ในศาสนาพุทธนี่แหละครับ ทำให้คนในสังคมยุคนั้นส่วนหนึ่งสนใจและหันมานับถือพุทธกันมากขึ้นเรื่อยๆ และก็เป็นธรรมดาของทุกสิ่งแหละครับ หลังจากที่พระพุทธเจ้าท่านปรินิพานไปแล้วไม่นานเท่าไร พุทธเราก็เริ่มมีความเห็นไม่ลงรอยกันในหมู่สาวกทั้งหลาย  ในที่สุดก็แตกออกเป็น 2 นิกายคือ แบบเก่ายึดเอาแบบเดิมเปะๆเรียกว่า เถรวาทหรือหินยาน กับอีกแบบที่เชื่อว่าบางสิ่งบางอย่างมันเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ก็เรียกตัวเองว่า มหายาน ทั้งสองนิกายก็เผยแพร่ศาสนาพุทธของเราออกไปตามความเชื่อของฝ่ายตัวเอง  ในอินเดียยุคต่อมาส่วนใหญ่ พุทธแบบมหายานเจริญรุ่งเรืองมากครับ ขยายไปจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไปทางธิเบตแถวหิมาลัย ไปทางตะวันตกตามเส้นทางการค้า อัฟกานิสถานนี่พุทธมหายานรุ่งเรืองมากเลยนะครับ หลายท่านคงจำได้ ตอนที่พวกตาลีบันยึดครองอัฟกานิสถาน แล้วระเบิดยิงทำลายพระพุทธรูปหินสลัก ใหญ่ๆไปมากมาย เรียกได้ว่า ในตอนนั้นเป็นยุคทองของพุทธมหายานเลยทีเดียวแตกแขนงออกเป็นสารพัดนิกาย แตกต่างประหลาดกันจนบางนิกายไม่น่าเชื่อว่าเป็นศาสนาพุทธ แม้นกระทั่งใกล้ๆบ้านเรา เขมรขอมยุคแรก หรือทางภาคใต้ แรกๆ ก็เป็นพุทธมหายานเหมือนกันส่วนเถรวาทนั้นแผ่ขยายมาทางอินเดียใต้ มาศรีลังกาแล้วมาเอเซียอาคเนย์ หลักๆก็พม่า ไทย ลาว นี่แหละครับ ไทยเราก็รับเอาพุทธเถรวาทมาจนถึงวันนี้
     พุทธเถรวาทนั้นตั้งอยู่บนความเชื่อว่า ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ง่ายคือ สมัยพระพุทธเจ้าท่านกำหนดอะไรไว้ก็เอาอย่างนั้น คงไว้อย่างเดิมแต่ก็เป็นธรรมดาโลกครับ เวลาเป็นพันๆปีก็อาจมีบ้างที่ถ่ายทอดกันมาไม่หมดไม่ครบหรือผิดเพี้ยนไปบ้าง อย่างไทยเราเคยรับเอาพุทธมาจากประเทศศรีลังกา จนมารุ่งเรือง ต่อมาทางศรีลังกาศาสนาพุทธเกิดเสื่อมถอย ไม่มีพระสงฆ์ต้องนิมนต์พระอุปปัชฌาจากไทยเราไปบวชให้ จึงมีคำเรียกว่า สยามวงศ์ ลังกาวงศ์ แต่ก็เป็นเถรวาทเหมือนกัน ส่วนในไทยเรานั้นเถรวาทแตกออกเป็น 2 นิกายกล่าวคือในยุคสมัย ร4 พระจอมเกล้าท่านก็ตั้งนิกายขึ้นมาใหม่ คือ ธรรมยุติ ส่วนนิกายของเดิมคือ มหานิกาย  มีข้อปฎิบัติแตกต่างกันไม่มากนัก  แต่ถ้าอยากจะรู้ว่า วัดนี้พระนี้นิกายไหน ก็ดูที่สี จีวรก็ได้ครับ มหานิกายจีวรจะสีสดๆ ส่วนธรรมยุติจะสีหม่นๆอย่างที่เรียกว่าสีกลักน่ะแหละ
     ธรรมยุติมีจำนวนน้อยกว่า แต่ต้องเรียกว่า มีอิทธิพลมากกว่า พูดอย่างนี้ไม่ได้ชวนทะเลาะให้แตกแยกกันนะครับ พูดไปตามเนื้อผ้าเท่านั้น เพราะจะว่าไปคือ พระมหากษัตริย์คือพระจอมเกล้าท่านเป็นคนตั้งนิกายนี้ โดยมีวัดบวรเป็นเสาหลักของธรรมยุติ มีมหามกุฏราชวิทยาลัยเป็นสถาบันหลักทางการศึกษา มีเจ้านายหลายพระองค์ในอดีตที่บวชในนิกายนี้แล้วก็เป็นพระสังฆราชกันหลายพระองค์ สมเด็จญาณพระสังฆราชที่เพิ่งสิ้นพระชนม์ไปก็อยู่วัดบวร ธรรมยุตนี่แหละครับ
     ส่วนมหานิกายพวกเยอะกว่า วัดเยอะกว่า วัดดังๆก็เช่น วัดสระเกศที่สมเด็จเกี่ยวท่านเคยอยู่  วัดปากน้ำที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์หรือเรียกกันว่า สมเด็จวัดปากน้ำ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันท่านอยู่ และวัดที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปาก วัดธรรมกาย นั้นเอง  วัดเหล่านี้เป็นมหานิกาย มีมหาจุฬาลงกรณ์เป็นสถาบันการศึกษาหลัก  สายมหานิกายนี้ในอดีตก็มีพระสังฆราชหลายพระองค์อยู่ อย่างที่ผมจำได้ ก็พระสังฆราช แพ วัดสุทัศน์ ที่จำได้เพราะพระกริ่งดัง ทั้งพระกริ่งพรหมมุนี พระกริ่งอินโดจีน
     เล่ายืดยาวมาขนาดนี้ มีเหตุผลเดียวครับคือจะเล่าว่า พุทธเรามีหลายนิกายนะครับ มากมายนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว เอาเถรวาทสยามวงศ์ของไทยเรายังมี 2 นิกาย มีข้อห้ามความเชื่อแตกต่างกันจะบอกของใครดี ไม่ดีก็คงไม่เหมาะไม่ได้  ผมจึงอยากจะเห็นความใจกว้างของพุทธเราครับ ว่าหลายอย่างอาจไม่ตรงใจท่าน ขัดใจเรา ก็ต้องพิจารณากันด้วยเหตุผลไป จะบอกว่าเราเป็นเถรวาทเปลี่ยนแปลงอะไรเลยไม่ได้นั้น ก็คงไม่ถูกทั้งหมดเพราะเราเองยัง 2 นิกาย และจะว่าไป ตอนนี้พุทธแบบไทยเราก็กลายเป็นพุทธแบบใหม่ของโลกไปแล้วนะครับ เอาง่ายๆเลย พุทธเรานี่แข่งกับพราหมณ์อินดูมาตลอด ยิ่งพุทธมหายานนี่แย่งชิงศรัทธามหาชนกับฮินดูในอินเดียกันมันหยดติ่ง ฮินดูมีเทพต่างๆ มหายานมีพระโพธิสัตว์มีฤทธิ์ไม่แพ้กัน  ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้กันแต่สุดท้ายฮินดูก็เป็นฝ่ายชนะในประเทศอินเดีย พุทธมหายานก็เสื่อมถอยลงไป เรียกง่ายๆว่า พุทธกับฮินดูนี่ เป็นคู่แข่งกันก็ไม่ผิดอะไร แต่ไทยเรายุคนี้เก่งครับ 5555 เราเอาพุทธกับฮินดูมาอยู่ร่วมกันสำเร็จแล้วครับในปัจจุบันนี้ ไปวัดดังๆที่คนชอบทำบุญเราจะเจอเทพฮินดูหลายองค์มาประจำการเรียบร้อย  แรกๆ อาจเจอแค่พระพิฆเนศ แต่ตอนนี้ มีครบแล้วครับ พระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม เทพเหล่านี้พร้อมใจกันประทับประจำการกันอย่างพร้อมเพรียง ฉลองศรัทธามหาชนชาวไทย อยู่รวมกันกับพระพุทธรูปเลย บางวัดก็อาจจะยังเขินๆหน่อย ก็แยกมาตั้งศาลาต่างหาก ไหว้เทพเสร็จก็ไหว้พระต่อเลย เรียกได้ว่า มาวัดทั้งทีไม่มีพลาด พระอาจจะลืมบุญกุศลที่เราทำ ก็ยังมีเทพต่างๆสำรองอีกก๊อก หรือ พุทธอย่างมหายานก็มาอยู่ในวัดเถรวาทเนียนๆ ตัวอย่างก็ เจ้าแม่อวนอิมหรือพระอวโลกิเตศวร นั้นแหละครับ อันนี้เป็นพระโพธิสัตว์ทางพุทธมหายานเค้า ท่านก็มาประทับอยู่กับสายเถรวาทแบบที่คนไทยเราไม่รู้สึกอะไร
     สิ่งเหล่านี้มันสะท้อนความเป็นไทยของเราตรงไหนบ้าง  มันสะท้อนเลยเยอะครับผมตอบแบบไม่ต้องคิด เราไม่ได้เป็นพุทธที่เคร่งอะไรมากมายเลยครับ เราเป็นพุทธพานิชย์ซะส่วนมากนั้นคือส่ิงที่เราเป็น ทำบุญตักบาตรแบบคนกรุงเทพที่เรียกว่า ใส่บาตรเวียน จากแม่ค้าสู่บาตรพระ แล้วกลับไปโต๊ะแม่ค้าอีกนี่ มันมีเฉพาะบ้านเรานะครับ และส่วนมากก็ในกรุงเทพนี่แหละ เวียนกันเห็นๆตรงนั้นไม่ต้องไปแอบตรงไหนให้เสียเวลา คนใส่บาตรก็ยอมรับได้ เพราะไปคิดเอาว่า ฉันใส่บาตรแล้ว ฉันได้บุญแล้ว เอาสะดวกเข้าว่า 55555 เอาแนวคิดพุทธตรงไหนมาคิดครับ จะต่อต้านพุทธวัตถุนิยมนี่ แล้วที่ทำๆพระเครื่องกัน  พระบูชากัน ไหนจะพระพุทธรูปทั้งเล็กทั้งใหญ่แบบใหญ่ที่สุดในโลก  อย่างนี้ถือว่า พุทธวัตถุนิยมไหมครับ สร้างวัดวิหารใหญ่ๆ หรือเล็กๆแต่สวยขาดใจอย่างวัดร่องขุน อาจารย์เฉลิมชัยนี่ พุทธวัตถุนิยมไหมครับ ถ้าใช่ต้องก็ต้องด่ากันให้หมดครับ  วัดที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวดังไปทั่วโลกอย่างวัดโพธิ์ วัดพระแก้ว ก็ต้องเข้าข่ายด้วย
     พุทธเราเองก็สอนอยู่แล้วครับ ว่าคนมีหลายประเภทหลายจำพวก จะบัวในตมหรือพ้นน้ำลอยในอวกาศ มันก็เป็นคนอยู่สังคมเดียวกัน ระดับสติปัญญาวิธีคิดย่อมแตกต่าง พระพุทธเจ้าท่านเองก็ยังบอกว่า คนแบบไหนก็ต้องใช้วิธีสอนให้เหมาะสม คนฉลาดก็ไปอ่านไปคิดได้เอง  แบบสติปัญญาธรรมดาๆทั่วไปก็ต้องสั่งสอน  ส่วนพวกติดบื้อๆ เนื้อสมองน้อยหน่อยก็ต้องใช้อุบายหลอกล่อ นรกสวรรค์ว่ากันไป ให้เชื่อให้กลัว แต่ก็ด้วยเจตนาดีอยากให้บรรดา พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้เข้าถึง มรรคผล ทั้งนั้น การทำบุญทำทานมันก็เป็นอุบายอย่างหนึ่งแหละครับ ถ้ามองแบบไม่ยึดติดอะไรมาก รูปแบบที่ธรรมกายเค้าใช้ระดมทำบุญทำทาน มันอาจไม่ตรงจริตบ้างก็ว่ากันไป แต่ความใจกว้างทางความคิดควรจะมีกัน ถ้าเราไม่ชอบแทนที่จะมาด่าว่า ทำไมไม่พยายามเผยแผ่สิ่งที่เราคิดว่าดีกว่าแทนล่ะครับ เสนอให้สังคมเห็นสิครับว่า มีแนวทางที่ดีกว่าการทำบุญแบบนั้น  เผยแพร่เรื่องคำสอนที่ถูกต้องออกไปสิครับ ถ้าเชื่อว่าสิ่งที่เค้าเผยแพร่มันผิด ไม่ใช่เราก็ไม่ทำ แต่คนอื่นทำเราก็ไม่ชอบ ผมว่ามันใจแคบไปนิด  สุดท้ายครับ ความรู้แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ยิ่งถ้าเป็นความรู้คู่เดินทางนี่   ต้องบอกว่าสุดยอด  โชคดีครับทุกท่าน

ภาพประกอบหลายที่เลย อ่านบรรยายในแต่ละรูปนะครับ


























วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อนาคตรายการสารคดีของเมืองไทย

ผมนั่งตัดรายการสารคดีไป เมื่อยก็พักมานั่งเขียนอะไรเรื่อยๆในเฟสบุคตามความตั้งใจที่จะเขียนให้ได้ทุกวันวันละเรื่อง การทำงานรายการโทรทัศน์นี่ต้องใช้เวลาส่วนหนึ่งนั่งดูรายการโทรทัศน์ด้วยนะครับ ถ้ามีเวลาก็ดูมันทุกรายการทุกช่องแหละครับ เราจะเรียกตามศัพท์ทีวีว่า มอนิเตอร์รายการ ถ้าเป็นผู้บริหารระดับสูง บริษัทใหญ่ๆจะมีแผนกมอนิเตอร์รายการแยกประเภทไปเลยครับ ละคร ข่าว เรียลลิตี้  เพื่อคอยรายงานให้ผู้บริหารทราบว่า ตอนนี้เป็นยังไง รายการไหนดีไม่ดีอย่างไร ทำรายงานกันละเอียดเลยครับ ประกอบกับดูเรตติ้งซึ่งก็มีบริษัทจัดเรตติ้งส่งข้อมูลให้ทุกเดือน ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่สำคัญนะครับ เพราะการบริหารสถานีหรือบริหารบริษัทผลิตรายการนี่ ต้องเข้าทำนองรู้เขารู้เรา ต้องแก้เกมกันให้ถูกต้อง ถูกเวลา ธุรกิจทีวีการแข่งขันมันสูง แต่รายการเล็กๆอย่างผมไม่มีงบประมาณพวกนี้หรอกครับ อาศัยว่าพอจะรู้จักคนที่มีเรตติ้งในมือก็อาศัยดูของเค้าเอา5555 ซื้อไม่ไหวมันแพง ส่วนการมอนิเตอร์ก็ทำเองครับ ว่างก็ดูทีวีมันไป กดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เรื่องการดูทีวีของคนทำทีวีนี่ คนที่ไม่ได้ทำอาชีพนี้อย่าได้หลวมตัวไปดูด้วยนะครับ น่าเบื่อมาก ประมาณว่าดูไปด่าไป วิจารณ์ไปทั้งเนื้อหา ทั้งเทคนิค บางคนร้อนวิชามากก็คอยจับผิดเค้าไปเรื่อย ไม่ก็วิจารณ์ว่า ต้องถ่ายอย่านี้ ต้องตัดอย่างนั้นซะมาก 5555 สรุปว่ามันเก่งอยู่คนเดียว 
     ส่วนผมไม่ร้อนวิชาแระ วิชาทั้งหลายเย็นตัวลงหมดกลายเป็นวิชามาร ก็ดูไปเรื่อยๆ ไม่วิจารณ์อะไร ถ้าไม่ชอบมากก็เปลี่ยนช่อง สนุกหน่อยก็ดูนาน และส่วนมากก็จะดูพวกสารคดีเพราะเป็นแนวทางที่ชอบและถนัด  บ้านเรารายการพวกนี้ค่อนข้างน้อยถึงน้อยมากครับ ยิ่งถ้าวิเคราะห์เปรียบเทียบนี่ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ ที่บอกว่าน้อยนี่เทียบกับสัดส่วนของเวลาออกอากาศทั้งหมดนะครับ ผิดพลาดประการใดก็ท้วงติงกันมาได้เพราะก็อาจดูไม่ทั่วถึงทุกช่อง
     โดยส่วนตัวผมอยากให้สนับสนุนรายการแนวสารคดีให้มากกว่านี้นะครับ เอาง่ายๆเลย รัฐควรให้พวกช่อง แนทชั่นแนลจีโอกราฟิค History หรือ ดีสคอฟเวอรี่ นี่เป็นช่องฟรีของประชาชนเลย อาจจะต้องใช้เงินจำนวนหนึ่ง แต่ผมว่าคุ้มค่ามากครับ ผมเองเป็นสมาชิกของทรูวิชั่น ยอมจ่ายเดือนละพันห้าเพื่อช่องเหล่านี้เท่านั้น ถ้ารัฐทำเองและซื้อจำนวนมากๆ อาจได้ราคาที่ถูกลงเยอะ รายละเอียดเรื่องราคาเงื่อนไข คงเอาไว้อีกประเด็น
     ทำไมผมถึงสนับสนุนให้รัฐจัดให้มีช่องเหล่านี้ฟรีล่ะครับ ผมในฐานะคนทำสารคดีมาเกือบสามสิบปีบอกได้เลยว่า สารคดีที่ฉายตามช่องพวกนี้ สุดยอดมากครับ ไม่ว่าเนื้อหาหรือการถ่ายทำ พูดกันตามตรง ดีกว่าไปนั่งเรียนหนังสือตาม รร หรือมหาวิทยาลัยอีกครับ ความรู้ที่ได้แน่นกว่ากันเยอะ ได้เห็นทั้งภาพและเสียง มีกราฟฟิคข้อมูลประกอบอีกมากมาย เรื่องยากๆ เค้าก็สามารถทำออกมาให้เข้าใจได้ง่ายๆ เอางบประมาณจากกระทรวงศึกษา หรือกระทรวงอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้อง งบพวกประชาสัมพันธ์ จัดอีเว็นท์อะไรนี่ มาซื้อสารคดีพวกนี้ให้ประชาชนดู ได้ประโยชน์มากกว่า หรือถ้าไม่มีงบประมาณจริงๆ เอาพวกเงินที่ถูกประนามว่าเป็นเงินบาปมาใช้ตรงนี้ เปลี่ยนจากบาปเป็นบุญเห็นๆ ครับ 
     ผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ถ้ารัฐจัดการอย่างที่ผมเสนอนี้ ไม่กี่ปี ประชาชนคนไทยเราเปลี่ยนอุปนิสัยหลายๆอย่างแน่ครับ แรกๆ อาจจะยังไม่ดูกันเท่าไร แต่ผมเชือว่า ไม่นานหรอกครับ สารคดีพวกนี้ดูสนุก ไม่น่าเบื่อ และให้ความรู้ พอเราดูเข้าบ่อยๆ เราก็จะชินกับการหาความรู้ไปต่อยอดกัน  เราจะรักในความรู้ หรือที่เรียกว่า ไผ่รู้นั้นเอง เมื่อคนไทยเรามีอุปนิสัยอย่างนี้แล้ว การพัฒนาอย่างอื่นมันไปเองครับ ไม่ต้องมาเถียงมาประชดกันว่า คนไทยอ่านหนังสือไม่กี่บรรทัด คนไทยอย่างโน้นอย่างนี้ ความรู้ในมุมกว้างมันจะเปลี่ยนพวกเราไปเอง และเมื่อเรามีความรู้ มีทัศนคติที่กว้างไม่คับแคบ การพูดจาพูดคุยกันก็มีแนวทางชัดเจน คุยกันรู้เรื่อง คนที่ชอบดูละคร ดูตลก ก็ดุไป คนชอบสารคดีก็ดูไป แต่นี่บ้านเรา มันมีแต่ ละครกับตลก วาไรตี้ ไม่มีพื้นที่ของสารคดีที่เป็นแบบของดีๆ เลย รัฐต้องเข้ามาช่วยครับ จนถึงวันหนึ่งที่คนบ้านเราชอบในความรู้กันจริงจังแล้ว ถึงตอนนั้นเราก็ผลิตก็ทำของเราเองได้ ผมหมายถึงทำแบบสุดๆ ดีๆ แบบของเมืองนอกเค้าน่ะ ไม่ใช่พื้นๆอย่างที่เรามี แต่จะทำดีๆได้นั้น ฐานคนดูต้องมีก่อน สปอนเซอร์มันถึงจะสนับสนุนได้ หรือถึงขั้นขายตัวมันเองได้โดยไม่ต้องพึ่งโฆษณา  มันถึงจะทำออกมาเป็นธุรกิจได้ ไม่งั้น ทำเท่าไรก็ต้องบอกว่า รอเจ๊ง อย่างเดียวครับ   สุดท้าย ความรู้คู่เดินทาง โชคดีทุกท่านครับ