วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วิคตอเรีย น้ำตกโลกตะลึง 2 ฝ่าสายน้ำม่านหมอกแห่งแซมเบี



ครั้งนี้เอาคลิปมาให้ดู ภาพนิ่งมันไม่สะใจ ส่วนภาพนิ่งอยู่ตรง คอมเม้นท์นะ

ครั้งที่แล้วเขียนถึงน้ำตกวิคตอเรียฝั่งซิบบับเว่ไปว่าเป็นมายังไง คราวนี้จะขอเขียนถึงทางฝั่งประเทศแซมเบียบ้าง ถ้าใครที่ไม่ได้ติดตามมาแต่ต้นก็ขอเท้าความสั้นๆว่า น้ำตกวิคตอเรียนี้ตั้งอยู่พรมแดนทั้งสองประเทศคือ แซมเบียและซิมบับเว่ เที่ยวได้ทั้งสองทางและควรจะเที่ยวทั้งสองด้านเลยเพราะมีความงามที่แตกต่างกัน
การมาเที่ยวน้ำตกวิคตอเรียและบริเวณรอบๆนั้นต้องมีเวลาอย่างน้อยสัก 4-5 วันถึงจะเที่ยวได้ทั่ว จุดสำคัญๆของบริเวณนั้น ผมเคยกล่าวไปแล้วว่าเป็นบุญของทั้งประเทศแซมเบียและซิบบับเว่ ที่เป็นเจ้าของมรดกโลกทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ได้ทำมาหากินหาเงินตราเข้าประเทศได้ชั่วลูกชั่วหลาน เรียกง่ายๆ ว่ากินกันจนตายไปข้างหนึ่ง ผมเองได้มีโอกาสตระเวณถ่ายสารคดีแถวๆน้ำตกวิคตอเรียเป็นเวลา 4-5 วัน ถ้าเป็นตัวน้ำตกจริงๆ เค้าจัดให้ผมไปสองวันคือวันแรกไปดูทางซิบบับเว่และวันสุดท้ายก่อนกลับก็เดินทางไปน้ำตกวิคตอเรียฝั่งแซมเบียแล้วก็ขึ้นเครื่องบินที่เมืองลิฟวิงสโตนฝั่งแซมเบียกลับไปเลย เป็นการวางแผนการท่องเที่ยวแบบลงตัวมาก พูดถึงเรื่องการวางแผนการท่องเที่ยวเดินทางนี่ ขอนอกเรื่องน้ำตกมาคุยเรื่องนี้ซะหน่อย การเดินทางท่องเที่ยวนี่จะให้สนุกคุ้มต่าทั้งเวลาและเงินทองจะต้องมีการหาข้อมูลและวางแผนล่วงหน้ากันก่อน ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าไร ข้อมูลทันสมัยมากที่สุดก็สามารถวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวได้ดีเท่านั้น ไปแบบมั่วๆนี่นอกจากจะไม่สนุก เสียเวลาเปล่าๆแล้วยังอาจตกรถตกเรือตกเครื่องบิน วุ่นวายกันได้สารพัด ทำไมผมถึงกล่าวเช่นนั้น ลองคิดดูง่ายๆสิครับ พวกรถเรือเครื่องบินนี่ เค้าออกเป็นเวลา เป็นเที่ยวแล้วไม่ใช่เราจะเดินทางไปถึงสถานีแล้วกระโดดขึ้นเครืองกันไปได้เลย ถ้าเป็นรถเมล์ รถโดยสารทั่วไปก็ไม่ค่อยยุ่งยากหรอกครับ ถ้ามีตั๋วอยู่แล้วไปก่อนเวลา สิบยี่สิบนาทีก็เหลือพอ ถ้าไม่มีตั๋วต้องไปซื้อเอาข้างหน้าอย่างนี้ก็ต้องเผื่อเวลาหน่อยเพราะบางแห่งห้องขายตั๋วเปิดปิดเป็นเวลา ไหนจะต้องเดินหาห้องขายตั๋ว ไหนจะต้องเดินหาว่าไปขึ้นรถที่ช่องไหน ประตูไหน ถ้าไปพวกยุโรป ญี่ปุ่นนี่ สบายหน่อย ตรงเวลาเป็นระเบียบหาง่าย แต่ถ้าแบบกำลังพัฒนานี่ ก็ต้องใช้ความสามารถกันหน่อย ผมเคยไปซาปา เมืองท่องเที่ยวทางเหนือของเวียดนามโดยการนั่งรถไฟนอนจากฮานอยไป สนานีรถไฟที่ฮานอยก็วุ่นวายประมาณหัวลำโพงเรานี่แหละครับ เดินเข้าไปกว่าจะหาตู้รถไฟนอนที่เราจองมาเจอ ก็เล่นเดินซะเมื่อยขนาดมีไกค์ท้องถิ่นเดินทางด้วย ถ้ายังเป็นวัยรุ่นแข็งแรงกำลังเยอะก็อาจสนุกสนานได้วิ่งได้ลุ้น แต่อย่างผมนี่ ห้าสิบเข้าไปแล้ว แบกอุปกรณ์ถ่ายภาพพะรุงพะรังเข้าไปอีก วิ่งหาตู้รถไฟ แย่งกับชาวเวียดนามนี่เกือบเป็นลมคารางรถไฟ ยิ่งถ้าเป็นเครื่องบินแบบบินข้ามประเทศนี่ คุณต้องเผื่อเวลาเลยอย่างน้อยสัก 3 ชม กว่าจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ด่านศุกากร แล้วต่างบ้านต่างเมืองนี่ คุณไปโวยวายเค้าแบบจะทำที่ไทยบ้านเราไม่ได้นะ เค้าไม่สนใจคุณหรอก บางประเทศเค้าไม่ได้สนใจนักท่องเที่ยวนักเดินทางด้วยซ้ำ ไปโวยวายถามโน่นนี่ จะพาลซวยโดนกักตัวเอาดื้อๆ พูดอย่านี้ไม่ใช่บอกว่าอย่าไป แต่บอกให้วางแผนให้ดีเท่านั้น ว่าจากจุดนี้เราจะไปเที่ยวตรงไหน เดินทางใช้เวลาเท่าไร ที่พักที่กินอยู่ใกล้อยุ่ไกล หรืออย่างพวกโรงแรมส่วนมากก็มีเวลาเข้าพักอย่างที่เรียก เช็คอิน เช็คเอาท์กันชัดเจน เช็คอินหลังเที่ยงเป็นต้นไป เช็คเอาท์ก็หลังเที่ยงเหมือนกัน ทะเล่อทะล่าไปขอเข้าพักแต่เช้านี่ ถ้าไม่โชคดีหรือโรงแรมเค้าสงสารก็ต้องนั่งหน้าละห้อยคอยห้องอยู่แถวเคาท์เตอร์รีเชฟชั่นนั้นแหละ ถ้าเราเดินทางไปถึงเป้าหมายแต่เช้าอย่างนี้เราก็ต้องแพลนไปเที่ยวก่อน สักประมาณบ่ายๆค่อยกลับมาเชคอิน รร หรือถ้าห่วงเที่ยวก็กลับมาตอนเย็นกินข้าว แล้วเข้าพักไปเลย ไม่ต้องมาเสียเวลานั่งรอห้อง ถ้าวันรุ่งขึ้นต้องออกไปเที่ยวไกลๆแล้วย้าย รร ที่พักก็จัดเตรียมกระเป๋าตั้งแต่กลางคืนซะ เช้าขึ้นมาก็เซ็คเอ้าท์เก็บกระเป๋าไปเที่ยวต่อ
นอกเรื่องไปซะนานก็เพื่อจะบอกว่า อย่างการเที่ยวน้ำตกวิคตอเรียนี่เหมือนกัน ด้วยความที่มันอยู่กันคนละประเทศ ถ้าเราไปรวมมันให้อยู่วันเดียวกันมันก็จะยุ่งต้องข้ามไปข้ามมา เสียเวลาเรื่องผ่านด่านข้ามแดน เจ้าภาพของเราซึ่งเป็นบริษัททัวร์ท้องถิ่นชำนาญพื้นที่แถบนั้น เลยจัดให้วันแรกเราไปเที่ยวน้ำตกฝั่งซิบบับเว่ แล้วก็นอนพักเที่ยวฝั่งซิมบับเว่ซะ 4 วันให้หมดซะก่อน วันสุดท้ายต้องเดินทางกลับโดยเครื่องบินค่อยมาเที่ยวน้ำตกฝั่งแซมเบียเพราะสนามบินอยู่แซมเบีย เที่ยวน้ำตกแต่เช้า กินข้าวเที่ยงเสร็จก็ไปสนามบินเลย
น้ำตกวิคตอเรียฝั่งแซมเบียนี่ ต้องถือว่าเป็นการเที่ยวน้ำตกแบบโหดมันฮามากกว่าทางซิบบับเว่ เพราะอยู่ทางใต้น้ำตก เรียกได้ว่ามองเห็นน้ำตกแบบเต็มๆ ไม่เห็นเปล่า ปริมาณน้ำมโหฬารจากน้ำตกก็สาดกระเซ็นเข้าใส่อย่างเมามัน งานนี้ไม่ใช่แค่เปียกธรรมดา มันเปียกยิ่งกว่า ไปว่ายน้ำซะอีก
เมื่อรถคณะเราเดินทางผ่านพรมแดนแซมเบียเรียบร้อย ก็เลี้ยวเข้าเขตน้ำตกวิคตอเรียใกล้ๆกันเลย ไกค์ท้องถิ่นของแซมเบียกระโดดขึ้นรถมาแนะนำตัวพร้อมแจกอุปกรณ์เสื้อกันฝน คณะเราตอนนี้เลยมีไกค์เป็นสามคน ขออธิบายเพิ่มเติมตรงนี้นิดหน่อย หลายท่านอาจคิดว่าทำไมต้องมีไกค์เยอะแยะอย่างนั้น มันเป็นกฎหมายสากลเรื่องการท่องเที่ยวเลยครับว่า จะต้องใช้ไกค์ท้องถิ่นหรือเรียกง่ายๆว่า เที่ยวประเทศไหนต้องใช้ไกค์ซึ่งเป็นคนประเทศนั้น ไกค์แซมเบียแจกเสื้อกันฝนเสร็จ แกเปลี่ยนรองเท้าเสื้อผ้าให้เห็นเป็นตัวอย่างเลยว่างานนี้ เปียกเละแน่ ผมถามว่า เปียกขนาดไหน แกบอกว่าประมาณไปว่ายน้ำอ่ะ ก็สั้นๆได้ใจความ ใครไม่กลัวเปียกก็ลุยไป เมื่อเริ่มเดินทางก็จะเจอ ป้ายบอกความเป็นมาของน้ำตกวิคตอเรีย ซึ่งไกค์แซมเบียก็อธิบายคร่าวๆเพราะเห็นว่าเราเที่ยวฝั่งซิบบับเว่มาแล้ว จากนั้นก็ออกเดินลัดป่า ขณะที่เราเดินลัดป่านั้นเหมือนเดินกลางฝนเลยครับ ไม่ใช่ฝนแบบโปรยๆนะแบบตกจริงๆเลย ผมก็นั่งนึกในใจว่า เอ น้ำตกมันกระเซ็นมากขนาดนี้เลยเหรอ สักพักพ้นแนวป่า เห็นท้องฟ้ามองออกไป 55555 ขาวไปหมดเลยครับ อารมณ์มันแบบเหมือนเดินในหมอกแต่มีใครคอยเอาน้ำมาสาดเป็นระยะๆอ่ะครับ ลมแรงก็สาดแรง ลมค่อยก็สาดเบาแต่สาดตลอด ทางเดินนี่ต้องระวังเลย เค้าลาดปูนแน่นหนาแต่ตะไคร่น้ำเกาะแบบถาวร เขียวอื้อลื่นใช้ได้ ผมตัดสินใจใช้รองเท้าหุ้มข้อก็เดินไม่ค่อยลื่นเท่าไร เห็นบางคนใช้รองเท้าแตะบางๆ เดินต้องคอยระวังลื่นตลอดเวลา เดินออกมามองฝ่าหมอกและน้ำกระเซ็นออกไป เห็นน้ำตกวิคตอเรียระยะใกล้แบบเบาขน คือฝั่งแซมเบียนี่จะหันหน้าเข้าหาน้ำตกยาวเลย น้ำตกทั้งหมดตกลงไปร้อยกวาเมตรกระเด็นกลับขึ้นมา ลมพัดหอบสาดเข้าใส่ยิ่งกว่าเดินฝ่าสายฝน ผมพยายามที่จะถ่ายรูปให้ได้มากที่สุด แต่ด้วยทั้งลมที่แรง น้ำสาดสารพัด คว้ากล้องจะถ่าย น้ำก็ซัดที เลยตัดสินใจใช้กล้อง Go Pro ดีกว่า ด้วยความที่มันกันน้ำและมีขนาดเล็ก เอาติดกับขากล้องแขนเดียวเล็กๆ แบบไม้เซลฟี่ ยื่นถ่ายสูงๆ ง่ายและปลอดภัยกว่า เดินฝ่าสายน้ำมาสักพักก็เจอกับไฮไลท์ของทางฝั่งแซมเบีย นั้นคือสะพานเล็กๆแบบสะพานแขวนน่ะครับ พาดผ่านหน้าน้ำตกเลย ใครกลัวความสูง หรือทนความเสียวไม่ไหว ไม่ขอแนะนำเพราะขณะที่เดินผ่านสะพานนั้น คุณจะเจอทั้ง ลม ทั้งน้ำ กระหน่ำแบบไม่ยั้ง และมองข้างๆทั้งสองด้าน ก็เห็นเหว ลึกเป็นร้อยเมตร แถมมีน้ำตกไหลกระหน่ำข้างล่าง แถมลื่นอีกต่างหาก ผมพยายามที่จะหยุดถ่ายรูปกลางสะพานให้ได้แต่เพียงไม่กี่นาทีก็ต้องถอดใจเพราะสู้กับแรงลมแรงน้ำไม่ไหว มองอะไรแทบไม่เห็น เดินหลุดจากสะพานแห่งความเสียวซึ่งน่าจะยาวสัก สามสิบเมตรมา ก็เป็นทางลัดเลาะไปดู ตามจุดวิวต่างๆ จากนั้นก็ไปสุดที่เส้นทางเดินมองไปข้างหน้าเห็นสะพานโครงเหล็กทอดข้ามหุบเขาสวยสง่า จากนั้นไกค์ก็ถามพวกเราว่าอยากจะกลับทางเดิมหรือเปล่า หรือจะเดินตัดป่ากลับไเลย โดยไม่ต้องรอช้าพวกเราตอบพร้อมกันว่ากลับทางใหม่ตัดป่าไปเลยดีกว่า หนเดียวพอแล้วเดินลัดเลาะตามทางป่ามาสักสิบห้านาที ก็ออกมาเจอกับทางเข้าเดิมที่เราผ่านมา เราแวะสำรวจสภาพร่างกายกัน ผลออกมาคือเปียกถ้วนหน้า ไม่ว่าจะใส่เสื้อกันฝนแบบไหน แต่เปียกแบบนี้สนุกนะครับ ประสบการณ์ชีวิตแบบนี้หาที่ไหนไม่ได้หรอกครับนอกจากการเดินทางท่องเที่ยวไปประสบพบเจอด้วยตัวเอง อย่างที่กล่าวทุกครั้งครับ ความรู้คู่เดินทาง แล้วทุกอย่างจะสนุก โชคดีทุกท่านครับ






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น