วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วิคตอเรีย น้ำตกโลกตะลึง 1

ตั้งชื่อซะเวอร์ขนาดนั้นหลายท่านอาจจะคิดว่ามากไปหรือเปล่า ก็ต้องขอกล่าวว่าเมื่อตอนแรกเริ่มที่รู้ว่าจะต้องเดินทางมาทำสารคดีเรื่องน้ำตกวิคตอเรียนี้ก็หาข้อมูลหาภาพมาดู หลังจากอ่านข้อมูลแล้วก็ทราบว่าเป็นน้ำตกขนาดใหญ่อันดับต้นๆของโลกเลยทีเดียว แต่ก็อย่างว่าแหละครับ อ่านเอาดูรูปไม่เท่าตาเห็น ขนาดรู้มาก่อนแล้วว่าใหญ่ระดับบิ๊กเรียกพ่อ พอมาเจอด้วยตาตัวเองแบบใกล้ๆ ต้องใช้คำว่า ตะลึงจนจุก ภาษาวัยรุ่นต้องบอกว่า สตั้นไปห้านาที มันโคตรใหญ่เลยทีเดียว ประวัติการค้นพบน้ำตกวิคตอเรียนี่หาอ่านได้ง่ายครับเพราะเป็นน้ำตกระดับโลกผมจะเล่าแบบเอาใจความสั้นๆก็พอนะครับ เอาเรื่องที่ตั้งก่อนแล้วกัน หลังจากที่ เดวิด ลิฟวิงสโตน หมอสอนศาสนาชาวอังกฤษที่มาสำรวจดินแดนแถบนี้ดป็นเวลานานล่องแม่น้ำแซมเบซี่มาเรื่อยจนเจอน้ำตกซึ่งชื่อเดิมที่เรียกโดยชาวพื้นเมืองก็คือ โมซิ-โอวา-ทุนยา แปลว่า หมอกควันที่ส่งเสียงดัง ซึ่งเจ้าหมอกควันเสียงกึกก้องสะท้านฟ้าเหล่านี้ก็คือ ละอองน้ำ ไอน้ำที่เกิดจากแม่น้ำแซมเบซี่ไหลหล่นลงไปในรอยแยกแผ่นดินขนาดยักษ์สูง 100 กว่าเมตร น้ำที่มันตกกระทบก็แตกกระจายกลายเป็นหมอกไอ มองเห็นได้ไกลเป็นสิบๆ กม. เลยทีเดียว ส่วนเสียงไม่ต้องพูดถึง ดังอื้ออึงเต็มหู หลังจากที่หมอเดวิด ลิฟวิงสโตนแกมาเจอน้ำตกนี้แล้ว ด้วยนิสัยผู้พิชิตแบบอังกฤษแท้ๆ ก็เลยเปลี่ยนชื่อ น้ำตกเป้น น้ำตกวิคตอเรีย เพื่อเป็นเกียรติแก่พระราชินีวิคตอเรียของอังกฤษในตอนนั้น หลังจากนั้นบริเวณรอบๆน้ำตกวิคตอเรียก็มีความเจริญเติบโตกลายมาเป็นเมือง ซึ่งก็ตั้งตามชื่อของ หมอเดวิด ว่า เมืองลิฟวิงสโตน ซึ่งเจ้าชื่อเมืองลิฟวิงสโตน และชื่อของหมอเดวิค ลิฟวิงสโตนนี่ ถ้าหาอ่านตามหนังสือไทยที่ค้นเจอ จะอ่านว่า ลิฟวิงสโตน จากคำภาษาอังกฤษ Livingstone ผมก็ออกเสียงตามนี้มาตลอด แต่พอลงเครื่องบินที่สนามบิน ลิฟวิงสโตน ผ่านด่านเข้าเมืองประเทศแซมเบีย เสียค่าวิซ่า น่าจะ50 เหรียญสหรัฐ ก็เจอเจ้าหน้าที่ของบริษัททัวร์ท้องถื่นมารับ เป็นคนผิวดำแอฟริกาท้องถิ่นชื่อ เบรสซิ่ง ตะโกน เวลคัม ทู ลิฟวิงสตัน เสียงดังฟังชัดมาแต่ไกล คณะเราก็เลยเดินไปหา หลังจากทักทายแนะนำตัวกันเรียบร้อย ด้วยความสงสัยผมจึงถาม เบรสซิ่ง ว่า ไอ้เมือง Livingstone นี่เค้าออกเสียงไง เบรสซิ่ง ไม่รอชข้าก็ออกเสียงให้ผมฟังทันทีว่า ลิฟวิงสตัน ผมก็ตอบไปว่า มันเขียนลิฟวิงสโตน ไม่ใช่เหรอ คราวนี้ เบรสซิ่ง ตอบมาว่า มันก็ออกเสียงได้ทั้งสองแบบแหละ สรุปผมเลยเหมาเอาว่า น่าจะออกเสียงได้ทั้งสองแบบ จะสตันหรือสโตน ก็คงไม่ผิดอะไรมาก คุณประกรณ์พิธีกรของผม ก็เลยออกเสียงทั้ง สตันสโตน กันตามอารมณ์ ไม่ว่ากันด้วยประการฉะนี้ เมือตอนแรกที่กล่าวถึงที่ตั้งของ เจ้าน้ำตกวิคตอเรียนี้คืออยู่บริเวณพรมแดนของทั้งสองประเทศเลย ทั้งแซมเบีย ซิมบับเว่ เที่ยวได้ทั้งสองประเทศ ถ้ามาจาก ไนโรบี ประเทศเคนย่าเหมือนผม ก็นั่งเครืองบินของเคนย่าแอร์เวย์ประมาณ 3 ชม มาลงที่เมืองลิฟวิงสโตน แซมเบียแล้วนั่งรถข้ามพรมแดนไปซิมบับเว่ คือแม่น้ำแซมเบซี่ มันไหลมาจากทางประเทศซิบบับเว่ แล้วมาเจอรอยแยกของแผ่นดินกลายเป็นน้ำตกวิตเรียแล้วไหลต่อไปยังประเทศแซมเบีย ชุมชนเมืองที่อยู่ทางแซมเบียคือ เมืองลิฟวิงสโตน ส่วนทางซิบบับเว่ เรียกว่า วิคตอเรียฟอล ใกล้กันมาก นั่งรถข้ามพรมแดนกัน สักสิบนาที ซึ่งแต่ก่อนทั้งสองประเทศก็คือประเทศเดียวกันนั้นแหละ ชื่อประเทศโรดีเซีย ซึ่งจะมาเล่าเรื่องราวของสองประเทศนี้อย่างละเอียดอีกที เล่าซะยาวเรื่องที่ตั้งเพราะเดี่ยวจะงงว่า เดี๋ยวแซมเบีย เดี๋ยวซิมบับเว่ เพราะมันชิดติดกันแค่ข้ามสะพานเท่านั้นกลับมาเรื่องความใหญ่เรียกพ่อของเจ้าน้ำตกวิคตอเรียกันดีกว่า พอเราข้ามพรมแดนจากแซมเบียมาทางซิมบับเว่ ก็จะผ่านสะพานโครงเหล็กทรงคลาสสิคแบบหอไอเฟลหรือนึกง่ายๆ แบบบ้านเราก็ สะพานซังฮี้ สะพานพระรามหก นะแหละ ที่เป็นโครงเหล็กเชื่อมติดกันประสานไปมา ผ่านมาถึงกลางสะพานเท่านั้น ภาพน้ำตกขนาดมหึมาก็โผล่พรวดมาแบบไม่ตั้งตัว คณะเราทั้งรถหันไปทางขวาโดยพร้อมเพรียง เสียงครางอืออาบ้าง โอโห้บ้าง แล้วแต่ถนัดของแต่ละคนดังไปทั่ว ใหญ่จริงๆครับ ใครไม่เคยเห็นพวกโคตรน้ำตกระดับโลกนี่ นึกภาพไม่ออกหรอก เอาขนาดมิติไปลองคิดดูเล่นครับ ความกว้างนี่ เกือบๆ 2 กม ความสูงนี่ 100 กว่าเมตร ความกว้างนี่ ดูมุมไหนจากพื้นดินก็ไม่มีทางดูครบหมดในมุมเดียว มีทางเดียวคือ ไปดูบนท้องฟ้า ซึ่งผมก็โชคดี เ้จาภาพจัดเฮลิคอบเตอร์มาพาพวกเราไปดูในอีกวัน แม่น้ำแซมเบซี่นี่ ปกติมันก็กว้างพอดูนะ กว้างเป็นร้อยๆเมตรเลยล่ะ แต่พอถึงใกล้ๆรอยแยกแผ่นดิน มันแผ่ออกกว้าง เหมือนกลายเป็นทะเลสาปย่อมๆ กว้างเป็น กม.ๆ เลย แล้วน้ำมันก็ตกหายไปดื้อๆ อารมณ์น้ำตกมันก็เหมือนเขื่อนยักษ์แตกยังไงยังงั้น ดูรูปที่ผมถ่ายมาจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นครับ ข้ามสะพานโครงเหล็กมาเราก็ไปเที่ยวน้ำตกวิคตอเรียทางฝั่งซิบบับเว่ ซึ่งเป็นฝั่งต้นน้ำ ถือว่าเป็นการเรียกน้ำย่อยเพราะน้ำตกฝั่งนี้จะไม่รุนแรงมากเหมือนฝั่งแซมเบีย เราเดินทางผ่านด่านเจ้าหน้าที่ เสียค่าเข้าชม ไกค์ของเราคือ จอชและลุคลิค ก็แจกเสื้อกันฝนแบบคลุมยาวถึงเข่าทุกคน พร้อมบอกให้ทุกคนเก็บข้าวของที่ไม่ทนน้ำซะ ไม่งั้นมีสิทธิ์เจ๊ง ผมก็เตรียมเปลี่ยนกล้องเป็นพวกกล้องกันน้ำเหมือนกัน อะไรที่กลัวเปียกก็ยัดใส่กระเป๋ากันน้ำซะ แล้วเราก็เดินลุยกันเข้าไป จุดแรกที่เจอคือ ภาพแผนผังรายละเอียดของน้ำตกพร้อมประวัติการค้นพบ ไกค์เราก็อธิบายกันตรงนี้ ส่วนมากคณะเราเตรียมข้อมูลมากันอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องเสียเวลาตรงนี้นานเท่าไร ส่วนใครชอบช็อบปิ้งก็มีร้านขายของที่ระลึกอยู่ใกล้ๆกัน คุณประกรณ์ได้หมวกทรงซาฟารีมาใบหนึ่งไว้ใส่ทำงาน เพราะหมวกปานามาใบโปรดลืมติดเอามาด้วย จากจุดนี้เราเดินลัดเลาะไปตามทางประมาณสิบนาทีก็เห็นรูปปั้นของคุณหมอเดวิค ลิฟวิงสโตน ยืนเด่นเป็นสง่า มีประวัติคร่าวๆ จารึกตรงฐานข้างล่าง แล้วถัดไปก็เป็น จุดชมวิวน้ำตกเลยครับ มองจากสะพานว่าใหญ่มากแล้ว มาดูใกล้ๆ เห็นสายน้ำชัดๆ ต้องใช้คำว่า น่ากลัวมากกว่า น้ำไหลแรงมาก หายไปในรอยแยก กลายเป้นหมอกไอ ลอยสูงขึ้นมาแทน เมื่อมีลมก็หอบเอาละอองน้ำเย็นๆ โปรยปรายไปทั่ว ยิ่งเดินลึกเข้าไป เสียงก็ยิ่งดังมากขึ้น กลายเป็นเสียงอื้ออึง และจากละอองน้ำก็กลายเป็นแบบน้ำกระเซ็น หนักๆเข้ามันก็กลายเป็นเหมือนเดินกลางสายฝนกระหน่ำเลยทีเดียว บางจุดบางตอนมองออกไปเห็นแต่ หมอกสีขาวไม่เห็นอะไร เล้นทางที่เราเดินจะลัดป่าไปเห็นน้ำตกเป็นจุดๆ ใช้เวลาเดินประมาณครึ่งชม. จะไปโผล่เอาตรงใกล้ๆสะพานโครงเหล็กที่้เราผ่านมานั้นเอง เมื่อถึงตรงจุดนี้คณะสารคดีของเราก็พักกัน หันมาสำรวจตัวเอง พบว่าสภาพส่วนมากแปลงร่างเป็นลูกหมาตกน้ำกันหมด จะมากจะน้อยก็อยู่ที่ว่าจะออกไปดูน้ำตกมากน้อยแค่ไหน อย่างผมที่ต้องถ่ายภาพไปด้วยตลอดทางนี่ไม่ต้องพูดถึง เปียกได้ใจเลยทีเดียว แต่รู้ล่วงหน้าแล้วว่า งานนี้มีลุย จึงเตรียมเสื้อผ้าแบบแห้งไวมาพร้อม พูดถึงเสื้อผ้าแบบแห้งไวนี่ ผมแนะนำเลยนะครับ สำหรับนักเดินทางแบบลุยๆนี่ เสื้อผ้าแบบนี้คุ้มค่ามาก บ้านเราก็พวกโคลัมเบีย นอร์ทเฟส ซึ่งราคาแพงมาก เสื้อตัวละเกือบสามพัน กางเกงก็ราคาเท่ากัน ใช้ของไทยพวก อีควิน็อกหรือร้านแดงรัสเซีย ก็ย่อมเยาลงมาหน่อย แต่ถ้าใครฝากเค้าซื้อที่อเมริกาหรือญี่ปุ่นได้ล่ะก็ จัดไปเลยครับ แถวเอ๊าเล็ทนี่เหลือประมาณพันกว่าบาท ยี่ห้อดังๆ ทั้งนั้น ถ้างบน้อยอย่างผมก็ต้องเล่นมือสองหรือของหิ้วตามเว็บตามอินเตอเนต ราคาหลักร้อย หรือถ้าไปเวียดนาม แถวฮานอยโดยเฉพาะเมืองซาปาล่ะก็ เสื้อผ้าพวกนี้มีเพียบครับ ราคาหลักร้อย แท้ปลอมอย่างไรแล้วแต่รสนิยม แต่คุณภาพก็ลงถอยลงมาตามราคา เสื้อผ้าพวกนี้จะมีคุณสมบัติแบบนักเดินทางลุยๆ ต้องการคือ เบา แห้งง่ายมาก ซักแล้วไม่ต้องรีด กันแสงแดดได้ดี ระบายอากาศได้ดีด้วย แห้งไวขนาดที่ว่า ผมเปียกโชกมาทั้งตัว เดินกลับมาที่รถประมาณยี่สิบนาที อากาศค่อนข้างเย็น แดดธรรมดา ถึงรถเสื้อผ้าหมาดๆเกือบแห้งเลย ผมเดินทางทริปแอฟริกาครั้งนี้ สิบกว่าวัน เอาเสื้อผ้าแบบนี้ไปสามชุดเท่านั้น กลับถึง รร ถ้ามีเวลาก็ซัก บิดหมาดๆ เอาพันกับผ้าขนหนูแล้วบิดซ้ำอีกที แขวนตากเอาไว้ในห้อง ไม่เกิน 2-3 ชม แห้งสนิท เช้าเอามาใส่ต่อสบายๆ เสื้อผ้าสามชุดทั้งทริปใส่ลงในเป้หลังขนาดเล็ก 11 ลิตรสบายๆเบามาก คุณประกรณ์พิธีกรรายการ แกเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ไปแถวอเมริกาบ่อย เลยใช้เสื้อผ้าของโคลัมเบียแท้ๆ พวกนี้แพงหน่อยแต่ผ้าจะมีคุณสมบัติกันละอองน้ำด้วย แบบน้ำจะเกาะไม่ติดคล้ายน้ำกลิ้งบนใบบัว เดินๆก็สลัดน้ำกระเด็นออกไป กลับจากน้ำตกออกมาแทบไม่เปียก มีชื้นๆ หมาดๆบางจุดเท่านั้น ใครเป็นนักเดินทางไม่อยากแบกของเยอะล่ะก็ บอกได้เลยว่า น่าใช้มาก วันนี้เขียนมายาวพอควรแหละ เรียกน้ำย่อยเรื่อง น้ำตกวิคตอเรียพอเห็นภาพกันแล้วนะครับ เรื่องราวของโคตรน้ำตกนี้ยังมีอีกเยอะ เรียกได้ว่า เป็นบุญของทั้งสองประเทศ คือแซมเบีย และซิมบับเว่เลย ที่เป็นเจ้าของ สามารถทำมาหากินเอาเงินเข้าประเทศต่อยอดธุรกิจการท่องเที่ยวอีกมากมาย เดี้ยวจะมาทะยอยเล่าสู่กันฟังเพื่อให้สมกับคำว่า ความรู้คู่เดินทาง แล้วชีวิตจะสนุกขึ้น โชคดีครับ ปล. ภาพประกอบอาจไม่ค่อยชัดเพราะผมแคบเจอร์จากคลิปวิดีโอที่ถ่ายสารคดีน่ะครับ ไม่มีเวลาถ่ายภาพนิ่งกันเท่าไรเลย
น้ำตกวิคตอเรีย จากมุมสูง
ขนาดกางร่มยังเปียก
สนามบินเมืองลิฟวิงสโตน
ประกรณ์กับลุควิค ไกค์ชาวซิบบับเว่
รูปปั้น เดวิค ลิฟวิงสโตน
ริมฝั่งแม่น้ำแซมเบซี่ ซิมบับเว่

1 ความคิดเห็น:

  1. David Livingstone เป็นนักสำรวจชาวสกอตต์ไม่ใช่หรอคะ หนูอ่านเจอในหนังสือ Reader’s Digest อีกอย่างในวิกิพีเดียก็บอกว่าเขาเป็นชาวสกอตต์

    ตอบลบ